Go to full page →

บทกี่ 2 - วันเวลาแห่งการรับใ MHTh 26

ในบ้านของชาวประมงที่เมืองคาเปอรนาอุม แม่’ของภรรยา’ซโมน- เปโตรนอน “ กำลังปวยมืไข้สูง” และ “ พวกเขาจึงมาทูลเรื่องของนางให้ พระองค์ทราบทันที” พระเยซูทรง “จับมือนางพยุงให้ลุกขึ้น นางก็หาย ไข้’ และนางจึงลุกขึ้นปรนนิบัติพระผู้ช่วยให้รอดและสาวกของพระองค์ ลูกา 4: 38; มาระโก 1: 30; ม่ทธิ’ว 8: 1 5 {MH 29.1} MHTh 26.1

ข่าวนี้ได้แพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว พระเยซูทรงกระทำการ อัศจรรย็ในวันสะบาโต ประชาชนต่างหวาดกลวพวกรับบีจึงไม่กล้าออกไป หาพระองค์เพื่อรับการรักษา จนกระทั่งดวงอาทิตย์ตกดิน ประชาชนที่ อาศัยอยู่ในเมือง บ้างก็มาจากบ้านร้านรวง และจากตลาด ต่างมุ่งตรงไป ยังบ้านอันตาด้อยที่พระเยซูทรงใช้เป็นที่พักพิง คนเจ็บป่วยถูกหามมา บนแคร่ บางคนใช้ไม้เท้ายันกายเดินโขยกเขยกมา บ้างก็มีเพื่อนช่วยพยุง มา พวกเขาเดินโซซัดโซเซด้วยความอ่อนล้ามาเฝืายังเบื้องพระพักตร์ พระผู้ช่วยให้รอด {MH 29.2} MHTh 26.2

ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าที่พวกเขาพากันมาแล้วกลับไป เพราะไม่มีใคร ทราบว่าในวันพรุ่งนี้จะยังมีโอกาสได้พบกับพระองค์ผู้ทรงเป็นแพทย์ผู้รักษา อยู่กับพวกเขาอีกหรือไม่ ชาวเมืองคาเปอรนาอุมไม่เคยพบเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เหมือนวันนี้มาก่อน บรรยากาศต่างอบอวลไปด้วยเสียงโห่ร้องฉลองชัย และเสียงร้องด้วยความยินดีที่ได้รับการปลดปล่อยจากโรคภัยไข้เจ็บที่พวก เขาต้องเผชิญ {MH 29.3} MHTh 27.1

พระเยซูจะไม่หยุดพักจากพระราชกิจจนกระทั่งทรงรักษาคนป่วย คนสุดท้ายให้หายเสียก่อน เมื่อฝูงชนลาจากพระองค์ไปหมดแล้ว เป็นเวลา ที่ดึกมาก ทั่วบริเวณบ้านของซีโมนก็มืแต่ความเงียบสงัด วันอันยาวนาน ที่เต็มไปด้วยเรื่องที่น่าตื่นเต้นได้ผ่านพ้นไปและพระเยซูทรงหาเวลาหยุด พัก ขณะที่ชาวเมืองกำลังหลับใหลอยู่นั้น พระผู้ช่วยให้รอดทรง “ ลุกขึ้น แต่เข้ามืด เสด็จออกไปยังที่เปลี่ยว และทรงอธิษฐานที่นั่น” มาระโก 1:35 {MH 29.4} MHTh 27.2

เข้าตรู่วันนั้น เปโตรและมิตรสหายได้ไปเฝืาพระเยซู ทูลพระองค์ ว่า ประชาชนในเมืองคาเปอรนาอุมกำลังตามหาพระองค์ ทุกคนต่าง ประหลาดใจที่ได้ยินพระคริสต์ตรัสว่า “เราต้องไปประกาศข่าวประเสริฐ แห่งแผ่นดินของพระเจ้าแก่เมืองอื่นด้วย เพราะว่าที่เราได้รับใช้มาก็เพราะ เหตุนี้เอง” ลูกา 4:43 {MH 30.1} MHTh 27.3

ในบรรยากาศของความน่าตื่นเต้นที่แผ่ปกคลุมอยู่ทั่วเมืองคา- เปอรนาอุมนั้น นับว่าเป็นภัยอันตรายจะทำให้มองไม่เห็นถึงจุดมุ่งหมาย ที่แท้จริงในพระราชภารกิจของพระองค์ พระเยซูไม่พอพระทัยความสนใจ ที่มุ่งไปที่พระองค์เพียงเพราะทรงทำการอัศจรรย์ใต้ หรือเป็นแพทย์ผู้รักษา ความเจ็บป่วยทางกายเท่านั้น พระองค์ทรงหาหนทางนำพามนุษย์ให้ เข้าถึงพระองค์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดของเขา ในขณะที่ประชาชน ต่างใจจดใจจ่ออยากเชื่อว่าพระองค์เสด็จมาเป็นกษัตริย์เพื่อปกครองบ้าน เมืองในโลกนี้ พระองค์ทรงประสงค์เปลี่ยนความคิดของเขาได้หันจากทาง โลกไปที่เรื่องของจิตวิญญาณ เพราะความสำเร็จทางโลกจะเป็นอุปสรรค ขัดขวางพระราชกิจของพระองค์ {MH 31.1} MHTh 27.4

และแล้วความสงสัยของฝูงชนที่ไม่ได้ไต่ตรองถึงจุดมุ่งหมายที่แท้จริง ทำให้พระองค์สะเทือนพระทัย พระองค์ไม่เคยทำสิ่งใดในชีวิตตามความ ปรารถนาของตนเองเลย การยกย่องสรรเสริญที่โลกได้มอบให้กับตำแหน่ง ฐานะ ความมั่งคั่งหรือตะล้นต์ความสามารถเป็นสิ่งที่ผิดแปลกสำหรับบุตร มนุษย์ พระเยซูไม่ใซวิธีการใดๆ ของมนุษย์เพื่อจะได้รับความจงรักภีกดี หรือการยกย่องสรรเสริญ เป็นเวลานานหลายศตวรรษก่อนหน้าที่พระองค์ จะเสด็จมาบงเกิดนั้น ได้มีคำพยากรณ์กล่าวถึงพระองค์ไว้ว่า “ท่านจะ ไม่ร้องหรือเปล่งเสียงของท่าน หรือกระทำไหได้ยินในถนน ไม้อ้อชํ้าแล้ว ท่านจะไม่หัก และไล้ตะเกียงที่ลุกริบหรี่อยู่ ท่านจะไม่ดับ ท่านจะส่งความ ยุติธรรมออกไปด้วยความสัตย์จริง’” อิสยาห์42:2, 3 {MH3 1.2} MHTh 28.1

พวกฟาริสีพยายามทำตัวใหโดดเด่นแตกต่างจากคนอื่นๆ ด้วยการ ถือพิธีรีตรองเคร่งและแสดงการโอ้อวดในการนมัสการพระเจ้าและการให้ ทานแก่คนยากจน. พวกเขาแสดงตนว่าเป็นผู้ที่มีศรัทธาแก่กล้าในศาสนา ด้วยการน่าสิ่งเหล่านี้มาเป็นหัวข้อสำคัญในการสนทนา การถกเถียง ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ที่มีความคิดเห็นแตกต่างนั้นส่งเสียงด้งเอ็ดตะโรอย่าง ยืดยาว และไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะได่ยินเสียงโต้เถียงกันด้วยความเดือดแค้น ของผู้ที่คงแก่เรียนในฝ่ายบทบัญญ้ติในพระคัมภีร์อยู่ตามถนนหนทางอยู่ เสมอ {MH 32.1} MHTh 28.2

ชีวิตของพระเยซูแตกต่างไปจากคนเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง ในชีวิตของ พระองค์ไม่เคยโต้เถียงเอะอะเสียงดัง ไม่มีการนมัสการพระเจ้าเพื่อการ โอ้อวด ไม่มีการกระทำเพื่อให้เป็นที่ยกย่องสรรเสริญให้เห็น พระคริสต์ ทรงซ่อนพระองค์อยู่ในพระเจ้าและพระเจ้าทรงสำแดงพระองด์ให้ปรากฏ จากพระลักษณะนิสัยที่มีอยู่ในพระบุตร พระองค์ทรงปรารถนาชี้แจงให้ ประชาชนไต้เข้าใจถึงความจริงเหล่านี้ {MH 32.2} MHTh 28.3

ดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมไม่ได้ฉายรัศมีอ้นเจิดจ้า เพื่อให้ ความรู้สึกนึกคิดของเราต้องพร่ามัวไปเนื่องจากสง่าราศีของพระองค์ มี บันทึกเขียนถึงเรื่องของพระคริสต์ว่า “พระองค์เสด็จออกก็แน่นอนเหมือน อรุณ’” โฮเซยา ธ:รุ แสงอรุณของวันใหม่ได้ฉายเข้ามายังโลกอย่างเงียบ ๆ และแผ่วเบา ได้ช่วยขจัดความมืดให้ออกไปและปลุกมนุษย์ใ,นโลกให้มีชีวิต ชีวาขึ้นมาอีกฉันใด ดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมฉายรัศมีเข้ามาพร้อม ด้วย “ปีกซึ่งรักษาโรคภัยได้” ได้ด้วยฉันนั้น มาลาคี 4:2 MHTh 29.1

“จงดูผู้รับใช้ของเรา ผู้ซังเราเิชิดชู
ผู้เลือกสรรของเรา ผู้ซึ่งใจเราปีติยินดี” MHTh 29.2

อิสยาห์ 42:1

“พระองค์ได้’ทรงเป็นที่’กำบังเข้มแข็งของคนยากจน
ทรงเป็นที่กำบังเข้มแข็งของคนขัดสนเมื่อเขาทุกข้ใจ
ทรงเป็นที่กำบังจากพายุและเป็นร่มกนความร้อน” MHTh 29.3

อิสยาห์ 25:4

“พระเจ้า คือ พระเยโฮวาห์ผู้ทรงสร้างฟัาสวรรค์และทรงขึงมน
ผู้ทรงแผ่แผ่นดินโลกและสิ่งที่บังเกิดจากโลกออกไป
ผู้ประทานลมหายใจแก’ประขาขนที่บนโลก
และจิตวิญญาณแก่ผู้ดำเนินอยู่บนโลก ตรัสด้งนี้ว่า
เราคือพระเจ้า เราได้เรียกเจ้ามาด้วยความขอบธรรม
เราได้ยุดเจ้าและรักษาเจ้าไว้
เราได็ให้เจ้าเป็นตัวพ้นธสัญญาของมนุษยชาติ
เป็นความสว่างแก่บรรดาประขาชาติ
เพื่อเบิกตาคนที่ตาบอด
เพื่อนำผู้ถูกจำจองออกมาจากคุก
นำผู้ที่นั่งในความมืดออกมาจากเรือนจำ” MHTh 29.4

อิสยาห์42:5-7

“เราจะจูงคนตาบอดไปในทางที่เขาทั้งหลายไม่รู้จัก
เราจะนำเขาไปในทางทั้งหลายที่เขาไม่รู้จัก
เราจะให้ความมืดข้างหน้าเขากลับเป็นสว่าง ที่ขรุขระให้เป็นที่ราบ
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราควรจะกระทำ และเราจะไม่ละทิ้งสิ่งเหล่านี้, ” MHTh 29.5

อิสยาห์42:16

“จงร้องเพลงบทใหม่ถวายพระเจ้า
เพลงยอพระเกียรติของพระองค์จากปลายแผ่นดินโลก
ทั้งผู้ที่ไปทะเล และบรรดาสิ่งที่อยู่ในนั้น
ทั้งแผ่นดินชาวทะเลและชาวภิ่นนั้น
จงให้ภิ่นทุรกันดารและหัวเมืองในนั้นเปล่งเสียง
ทั้งชนบทที่เคดาร์อาศัยอยู่
จงให้ขาวเส-ลาร้องเพลงด้วยความขื่นบาน
ให้เขาโห่ร้องมาจากยอดภูเขา
จงให้เขาถวายพระสิริแด่พระเจ้า
และถวายสรรเสริญพระองค์ในแผ่นดินทะเลทราย,, MHTh 30.1

อิสยาห์42:10-12

“โอ โอ ฝัาสวรรค์เอ๋ย จงร้องเพลง เพราะพระเจ้าทรงกระทำการนี้
โอ ห้วงลึกของแผ่นดินโลกเอ๋ย
จงโห่ร้อง โอ ภูเขาเอ๋ย
จงร้องเป็นเพลงออกมา
เอ ปาไม้เอย และต้นไม้ทุกต้นไนนินต้วย
เพราะว่าพระเจ้าทรงไถ่ยาโคบ
และจะทรงรับเกียรติในอิสราเอล,,

อิสยาห์ 44:23 {MH 32.3}

จากคุกใต้ดินของกษัตริย์เฮโรด ยอห์นผู้ให้รับบัพดิศมาได้เฟัามอง และรอคอยอยู่ด้วยความท้อถอยและงุนงงสับสนในเรื่องพระราชกิจของ พระผู้ช่วยให้รอด เขาได้ส่งสาวกสองคนออกไปหาพระเยซูเพื่อที่จะฝากทูล ถามพระองค์ว่า {MH 34.1} MHTh 30.2

“ท่านเป็นผัูที่จะมานั้นหรือหรือจะต้องคอยผู้อื่น” มัทธิว 1 1:3 {MH 34.2} MHTh 30.3

พระผู้ช่วยให้รอดไม่ได้ตอบคำถามของพวกสาวกทันที ในขณะที่ พวกเขากำลังยืนอยู่และคิดสงสัยในความนิ่งเงียบของพระองค’นั้น คนเจ็บ ป่วยได้เข้าไปเฝัาพระองค์ พระสุรเสียงของแพทย์ผู้ทรงฤทธิ์ได้แทรกทะลุ ผ่าน’หูที่’หนวก พระดำรัสเพียงคำเดียว สัมผัสจากพระหัตถ์ของพระองค์ เพียงครั้งเดียว เบิกนัยน์ตาที่มืดบอดให้เห็นแสงสว่าง ทัศนียภาพของ ธรรมชาติ ใบหน้าของมิตรสหายและพระพักตร็ขององค์พระผู้ช่วยกอบกู้ พระสุรเสียงของพระองค์ใดํยินไปถึงหูของคนที่กำลังจะสิ้นลมและพวกเขา ได้ฟันคืนชีวิตขึ้นมาด้วยกำลังวังชาที่สมบูรณ์แข็งแรง คนถูกผีสิงที่นอน เป็นง่อยอยู่เชื่อฟังพระดำรัสของพระองค์ พวกเขาหายจากความบ้าคลั่ง และกราบไหว้พระองค์ ชาวนาและกรรมกรที่ยากไร้ที่พวกรับบิรังเกียจว่า เป็นมลทิน ได้เข้าไปห้อมล้อมพระองค์ พระเยซูตรัสถึงถ้อยคำที่เป็นชีวิต นิรันดร์แก่คนเหล่านั้น {MH 34.3} MHTh 31.1

ด้วยเหตุนิ วนนันผ่านพ้นไป สาวกทังสองของยอหนได้เห็นและ ได้ยินถึงสิ่งทั้งปวง ในที่สุด พระเยซูทรงเรียกให้พวกเขาได้เข้าเฝ้าพระองค์ ทรงรับสั่งให้เขากลับไปบอกยอห์นถึงสิ่งที่เขาได้เห็นและได้ยืน และตรัส เพิ่มเติมอีกว่า “บุคคลผู้ใดไม่เห็น-ว่าเราเป็นอุปสรรค ผู้นั้นเป็นสุข’, มัทธิว 11:6 สาวกทั้งสองจึงได้นำข่าวนั้นไปแจ้งแก่ยอห์น ทั้งหมดนี้ก็เพียงพอ แล้ว {MH 35.1} MHTh 31.2

ยอห์นหวนระลึกถึงคำพยากรณ์เกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ที่กล่าวว่า “พระเจ้าได้ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมาย้ง่ผู้ที่ทุกข์ใจ พระองค์ทรง ใช้ข้าพเจ้ามาให้เล้าโลมคนที่ขอกขํ้าระกำใจ และร้องประกาศอิสรภาพแก่ บรรดาเชลย และบอกการเป็ดเรือนจำออก ให้แก่ผู้ที่ถูกจำจอง เพื่อ ประกาศป็แห่งความโปรดปรานของพระเจ้า และ...เพื่อเล้าโลมบรรดาผู้ที่ ไว้ทุกข์” อิสยาห์61:1,2 พระเยซูแห่งนาซาเร็ธคือพระองค์ผู้ทรงโปรด สัญญาไว้ หลักฐานที่แสดงว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์เห็นได้ จากพระราชกิจของพระองค์ที่สนองความต้องการของมนุษยชาติที่เจ็บปวด ทุกข์ทรมาน รัศมีของพระองค์ไต้แสดงออกให้เห็นจากการที่ทรงถ่อม พระองค์ลงมาประสติในสภาพมนุษย์ผัูด่ำด้อยเฉกเช่นเดียวกับเรา {MH 35.2} MHTh 31.3

พระราชกิจของพระคริสต้ไม่เพียงแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็น พระเมสสิยาห์เท่านั้น ยังได้แสดงให้เห็นด้วยว่าพระองค์จะทรงตั้งอาณาจักร ของพระองค์ขึ๋นมาตัวยวิธีใด ความจริงอย่างเดียวกันที่เปิดเผยให้แก่ยอห์น เหมือนกับที่เอลียาห์เคยได้รับในถิ่นทุรกันดารเมื่อ “ลมใหญ่อันแรงกล้าได้ พัดพังภูเขา และทำให้หินแตกเป็นก้อนๆ ต่อพระพักตร์พระเจ้า แต่ พระเจ้ามิได้สถิตในลมนั้น ภายหลังลมก็แผ่นดินไหว แต่พระเจ้าหาสถิตใน แผ่นดินไหวนั้นไม่ ภายหลังแผ่นดินไหวก็เถิดไฟ แต่พระเจ้าหาสถิตในไฟ นั้นไม่” ภายหลังไฟพระเจ้าตรัสกับผู้เผยพระวจนด้วยเสียงเบาๆ 1 พงศ- กษัตริย์ 19:11, 12 ด้วยเหตุนี้พระเยซูจะทรงกระทำพระราชกิจของ พระองค์ มิใช่ด้วยการโค่นล้มบลลังก์หรือการทำลายอาณาจักร มิใช่ด้วย การแสดงยศศักดิ์หรือการแสร้งโอ้อวด แต่โดยการตรัสกับจิตใจของมนุษย์ ด้วยชีวิตของพระองค์ที่เปียมด้วยพระทัยกรุณาและเสียสละ {MH 36.1} MHTh 32.1

ราชอาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้มาด้วยการแสดงโอ้อวด แต่จะมา โดยพระวจนะของพระเจ้าที่ดลจิตใจของมนุษย์ด้วยวิธีการอันนุ่มนวล และ โดยอาศัยพระวิญญาณของพระองค์ที่ทรงประกอบกิจอยู่ภายใน เป็นการ รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างจิตวิญญาณของมนุษย์และพระองค์ ผู้ทรงเป็นชีวิต การเปิดเผยฤทธิ์อำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของราชอาณาจักร แห่งพระเจ้านั้น เห็นได้จากการที่มนุษย์ได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ มิ อุปนิสัยที่สมบรณ์แบบเหมือนกับพระลักษณะของพระคริสต์ {MH 36.2} MHTh 32.2

บรรดาสาวกผู้ติดตามพระคริสต์จะต้องเป็นความสว่างให้แก่โลก แต่พระเจ้ามิได้รับสั่งให้พวกเขาต้องใช้ความพยายามในการส่องแสงออก ไป พระองค์ไม่ชอบพระทัยกับการที่มนุษย์รูสึกพึงพอใจในความพยายาม ของตนเองที่ได้แสดงความดีที่เหนือกว่าผู้อื่นออกมา พระองค์ทรงปรารถนา ใหัจิตวิญญาณของเขาได้ซาบซึ้งในหลักการของสวรรค์ และเมื่อเขาเหล่า นั้นได้ติดต่อเกี่ยวข้องกับคนที่อยู่ฝ่ายโลก พวกเขาจะได้ส่องความสว่างที่ มีอยู่ภายในตัวให้ผูอื่นไต้เห็น ความแน่วแน่ในการกระทำทุกสิ่งในชีวิตด้วย ความซื่อสัตย์จะเป็นวิธีที่เขาจะส่องสว่างออกไป {MH 36.3} MHTh 32.3

ความมั่งคั่งหรือยศถาบรรดาศักดิ์ ข้าวของเครื่องใช้หรูหรามีราคา สถาปัตยกรรม หรือเครื่องประตับตกแต่งอันงดงาม ไม่ใช่สิ่งจำเป็นเพื่อ ช่วยให้พระราชกิจของพระเจ้าเจริญขึ้น ไม่ใช่ความสำเร็จใดๆ ที่มนุษย์ ยกย่องสรรเสริญและความพยายามที่ปราศจากมรรคผลเพื่อสร้างความ ภาคภูมิใจให้กับตัวเองจะทำให้กิจการของพระองค์เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น การโอ้อวดตามอย่างโลก แม้ดูน่าประทับใจมากเพียงใดก็ตาม ในสาย พระเนตรของพระเจ้า ไม่มิค่าอะไร พระองค์ทรงให้คุณค่าแก่สิ่งที่ตามองไม่ เห็นและสิ่งที่เป็นนิรันดร์ ซึ่งอยู่เหนือสิ่งที่ตามองเห็นและสิ่งของในทางโลก การโอ้อวดตามอย่างโลกจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อแสดงออกให้เห็นถึงสิ่งที่เป็น นิรันดร ความงดงามอ้นเกิดจากการบรรจงสร้างงานศิลป์อย่างเลอค่า ย่อม มิอาจเทียบได้กับความงามของอุปนิสัยที่บงเกิดขึ้นจากผลของพระวิญญาณ บริสุทธิ์ประกอบกิจอยู่ภายในจิตใจ {MH 36.4} MHTh 33.1

เมื่อพระเจ้าประทานพระบุตรของพระองค์แก่โลกนั้น พระองค์ทรง มอบสิ่งลํ้าค่าที่ไม่มีวันสูญหายให้แก่มนุษย์ด้วย ทรัพย์สมบัตที่มนุษย์ใต้ สั่งสมมาตั้งแต่เริ่มมีโลกนี้ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วไม่มีค่าอันใด พระคริสต์ เสด็จมายังแผ่นดินโลกและทรงยืนอยู่หน้ามนุษย์ด้วยความรักที่ทรงสะสม มาตั้งแต่นิรันดรกาล และสิ่งนี้คือ สิ่งลํ้าค่าที่เราจะได้รับ เราจะรับเอาสมบต นี้ เปิดเผยให้เห็นและแบ่งปันให้แก่ผูัอื่นก็โดยความสัมพันธ์ของเราที่มีกับ พระองค์ {MH 37.1} MHTh 33.2

ความพากเพียรของมนุษย์!,นการกระทำกิจของพระเจ้าจะบงเกิด ผลอันสมควร ก็ต่อเมื่อผู้ที่ปฏิบติงานได้อุทิศตัวแด่พระเจ้า ด้วยการแสดง ให้เห็นถึงฤทธิ์อำนาจในพระคุณของพระคริสต์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขา ใหม่ได้ เราจะต้องมีตุณสมบัตที่แตกต่างไปจากคนที่อยู่ในฝ่ายโลก เพราะ เราไต้รับการประทับตราจากพระเจ้าแล้ว และเพราะพระองค์ทรงสำแดง ความรักที่มีอยู่ในพระลักษณะของพระองค์ให้ปรากฏอยู่ในอุปนิสัยของเรา พระผู้ไถ่ทรงเอาเสื้อคลุมแห่งความชอบธรรมของพระองค์ปกปิดเราไว้ {MH 37.2} MHTh 33.3

ในการเลือกชายหญิงเพื่อที่จะรับใช้ในกิจการของพระเจ้านั้น พระองค์ มิได้ตรัสถามคนเหล่านั้นว่าในโลกนี้เขามีทรัพย์สมบัติอะไร มีการศึกษา หรือมีชั้นเชิงในการพูดหรือไม่ พระองค์ตรัสถามว่า “ เขาดำเนินชีวิตด้วย ใจถ่อม ที่เราจะสามารถสั่งสอนให้เขาดำเนินไปตามมรรคาของเราได้หรือ ไม่ เราจะใส่ถ้อยคำของเราในปากของเขาได้หรือไม่ และพวกเขาจะเป็น ตัวแทนของเราได้หรือไม่” {MH 37.3} MHTh 34.1

การที่พระเจ้าสามารถใช้ใครไต้มากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่ที่ผู้นั้นยินยอม ให้พระวิญญาณของพระองค์เข้ามาประทับในวิหารแห่งจิตวิญญาณของ เขา การงานที่พระองค์ทรงยอมรับก็คืองานที่จะสะท้อนถึงพระฉายาของ พระองค์ บรรดาผู้ติดตามพระองค์จะต้องเป็นเครื่องยืนยันพีสูจน์ใหัโลกได้ เห็นการประพฤติชอบตามหลักการพระลักษณะแห่งบทบัญญิติที่เป็นนิรันดร และไม่มีวันเสื่อมสูญของพระองค์ {MH 37.4} MHTh 34.2