Loading...
Larger font
Smaller font
Copy
Print
Contents
  • Results
  • Related
  • Featured
No results found for: "".
  • Weighted Relevancy
  • Content Sequence
  • Relevancy
  • Earliest First
  • Latest First
    Larger font
    Smaller font
    Copy
    Print
    Contents

    11. อภิสิทธิ์ของการอธิษฐาน

    พระเจ้าตรัสกับเราโดยทางธรรมชาติและโดยทางพระคัมภีร์ โดยการทรงนำของพระองค์และโดยอิทธิพลของพระวิญญาณของพระองค์ แต่สิ่งเหล่านี้ยังไม่พอ เราจำเป็นต้องเปิดจิตใจของเราออกให้แก่พระองค์ เราต้องมีการสื่อสัมพันธ์กับพระบิดาในสวรรค์ของเรา เพื่อเราจะได้มีชีวิตและพละกำลังฝ่ายวิญญาณ ความนึกคิดของเราจะต้องถูกดึงเข้าไปหาพระองค์ เราใคร่ครวญถึงพระราชกิจของพระองค์ พระเมตตาคุณของพระองค์ พระพรของพระองค์ได้ แต่ในความหมายที่บริบูรณ์แล้ว สิ่งเหล่านี้ยังไม่ใช่เป็นการสื่อสัมพันธ์กับพระองค์ หากเราต้องการสื่อสัมพันธ์อย่างสนิทสนมร่วมกับพระเจ้าแล้ว เราจะต้องมีเรื่องราวในชีวิตของเราที่จะนำขึ้นทูลต่อพระองค์ได้ {SC 93.1}ThSC 85.1

    การอธิษฐานเป็นการเปิดอกพูดคุยกับพระเจ้าเหมือนเราเปิดอกพูดกับเพื่อนฝูง การอธิษฐานไม่ได้มีไว้เพื่อให้พระเจ้ารู้จักเรา แต่มีไว้เพื่อให้เราต้อนรับพระองค์ การอธิษฐานไม่ได้นำพระเจ้าลงมาหาเรา แต่นำเราขึ้นไปหาพระองค์ {SC 93.2}ThSC 86.1

    เมื่อพระเยซูเสด็จมาอยู่ในโลกนั้น พระองค์ทรงสอนสาวกวิธีอธิษฐาน พระองค์ทรงสอนให้พวกเขานำความต้องการของแต่ละวันทูลขอต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า และมอบความกังวลใจทั้งหมดให้พระองค์ และพระองค์ประทานความเชื่อมั่นให้แก่พวกเขาว่า พระเจ้าจะสดับฟังคำทูลขอของพวกเขา นี่เป็นความเชื่อมั่นที่ทรงโปรดประทานให้แก่พวกเราด้วย {SC 93.3}ThSC 86.2

    ในขณะที่พระเยซูทรงอยู่ท่ามกลางมนุษย์นั้น พระองค์ทรงอธิษฐานอยู่เสมอ พระผู้ช่วยให้รอดของเราทรงนำตัวของพระองค์เองให้เข้ามามีส่วนในความต้องการและความอ่อนแอของเรา พระองค์ทรงอ้อนวอน ทรงทูลขอ ทรงเสาะแสวงหาแหล่งกำลังที่สดใหม่จากพระบิดาเพื่อให้พระองค์พร้อมที่จะก้าวมารับหน้าที่และการทดลองได้ พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างของเราในทุกเรื่อง ทรงเป็นพี่ชายในความอ่อนแอของเรา พระองค์ “ทรงเคยถูกทดลองใจเหมือนเราทุกอย่าง” แต่ในสภาพของผู้ที่ปราศจากบาปนั้น ธรรมชาติของพระองค์ทรงออกห่างไปจากความชั่ว พระองค์ทรงอดทนกับการดิ้นรนและการทรมานของจิตวิญญาณในโลกแห่งบาป ในขณะที่พระองค์ทรงสภาพเป็นมนุษย์นั้น การอธิษฐานเป็นเรื่องจำเป็นและเป็นอภิสิทธิ์ของพระองค์ พระองค์ได้รับการปลอบประโลมใจและความสุขจากการสื่อสัมพันธ์กับพระบิดา และหากพระผู้ช่วยให้รอดของมนุษย์ผู้ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ทรงตระหนักถึงความจำเป็นของการอธิษฐานแล้ว มนุษย์ที่บาปหนา อ่อนแอจะต้องการการอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอและร้อนรนมากยิ่งกว่าเพียงไร {SC 93.4}ThSC 86.3

    พระบิดาในสวรรค์ของเราทรงรอคอยที่จะประทานพระพรอันไพบูลย์ของพระองค์ให้แก่เรา เป็นสิทธิพิเศษของเราที่จะได้ดื่มจากบ่อน้ำพุแห่งรักอันไร้พรมแดนได้อย่างเต็มที่ เป็นเรื่องน่าประหลาดที่พวกเราอธิษฐานกันน้อยนัก พระเจ้าทรงพร้อมและเต็มพระทัยที่จะสดับฟังคำอธิษฐานที่จริงใจของบุตรที่ต่ำต้อยที่สุดของพระองค์ แต่เราก็ยังแสดงออกถึงความไม่มั่นใจอยู่เสมอ เมื่อเราทูลพระเจ้าถึงความขัดสนของเรา ทูตสวรรค์เบื้องบนจะคิดอย่างไรกับมนุษย์ผู้น่าสงสารที่ตกอยู่ภายใต้การทดลองและช่วยตัวเองไม่ได้เหล่านี้ ในขณะที่พระทัยที่กอปรด้วยรักอันไม่มีขอบเขตจำกัดของพระเจ้า คอยตามหาพวกเขา ทรงพร้อมที่จะประทานให้เขามากกว่าที่พวกเขาจะขอหรือคิดได้ แต่กระนั้นพวกเขาเหล่านั้นก็ยังอธิษฐานน้อยเกินไปและยังมีความเชื่อเพียงน้อยนิด ทูตสวรรค์ชอบที่จะก้มกราบอยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาชอบที่จะอยู่ใกล้ชิดพระองค์ พวกเขาถือว่าการสื่อสัมพันธ์กับพระเจ้าเป็นความสุขสูงส่งที่สุด แต่เหล่าบุตรมนุษย์โลกผู้ต้องการความช่วยเหลือมากมายที่พระเจ้าเท่านั้นจะเป็นผู้ประทานให้ได้กลับดูเหมือนว่าพอใจที่จะเดินโดยไม่มีแสงสว่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระผู้ทรงเป็นมิตรภาพของการร่วมสถิตของพระองค์ {SC 94.1}ThSC 87.1

    ความมืดมนของสิ่งชั่วร้ายล้อมอยู่รอบบรรดาคนเหล่านั้นที่ละเลยการอธิษฐาน เสียงกระซิบการล่อลวงของศัตรูชักนำพวกเขาให้ทำบาป และทั้งนี้เป็นเพราะพวกเขาไม่ใช้สิทธิที่พระเจ้าประทานให้เพื่อนัดหมายกับพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน เหตุไฉนบุตรชายและบุตรหญิงของพระเจ้าจึงลังเลใจที่จะอธิษฐาน ในเมื่อการอธิษฐานคือกุญแจในมือของผู้เชื่อเพื่อไขขุมทรัพย์แห่งสวรรค์ซึ่งเป็นแหล่งสมบัติที่นับไม่ถ้วนของพระเจ้ายิ่งใหญ่ เมื่อปราศจากการอธิษฐานอย่างไม่หยุดหย่อนและการเฝ้าระวังอย่างแข็งขัน เราจะตกเข้าไปสู่ภัยอันตรายของการไม่ระมัดระวังมากขึ้นและเดินออกห่างไปจากทางที่ถูกต้อง ศัตรูคอยหาวิธีอย่างต่อเนื่องที่จะขวางกั้นหนทางที่นำไปสู่พระที่นั่งพระกรุณาธิคุณ เพื่อไม่ให้เราทูลขออย่างจริงใจ และความเชื่อที่จะได้มาซึ่งพระคุณและกำลังที่จะต่อต้านการทดลองได้ {SC 94.2}ThSC 87.2

    มีเงื่อนไขอยู่บางประการที่ทำให้เราคาดหวังให้พระเจ้าสดับฟังและตอบคำอธิษฐานของเราได้ เงื่อนไขประการแรกสุดคือ เราต้องรู้สึกถึงความต้องการที่จะให้พระองค์ทรงช่วย พระองค์ทรงสัญญาว่า “เราจะเทน้ำลงบนแผ่นดินที่กระหายและลำธารลงบนดินแห้ง” อิสยาห์ 44: 3 ผู้ที่หิวและกระหายความชอบธรรม ผู้ที่แสวงหาพระเจ้า เขาจะมั่นใจได้ว่า จะได้รับการเติมให้เต็ม เราจะต้องเปิดใจของเราออกรับอิทธิพลของพระวิญญาณ ไม่เช่นนั้นแล้วเราจะรับพระพรของพระเจ้าไม่ได้ {SC 95.1}ThSC 88.1

    ความต้องการยิ่งใหญ่ของเราเป็นทั้งคำสนับสนุนและคำอ้อนวอนอยู่ในตัวที่ไพเราะที่สุดเพื่อเป็นประโยชน์ให้แก่เรา แต่เราจะต้องแสวงหาพระเจ้าเพื่อขอพระองค์กระทำสิ่งเหล่านี้ให้แก่เรา พระองค์ตรัสว่า “จงขอแล้วจะได้” และพระเจ้า “ไม่ทรงหวงพระบุตรของพระองค์เอง แต่ประทานพระบุตรนั้นเพื่อเราทุกคน ถ้าเช่นนั้นพระองค์จะไม่ประทานสิ่งสารพัดให้เราด้วยกันกับพระบุตรนั้นหรือ” มัทธิว 7:7; โรม 8:32 {SC 95.2}ThSC 88.2

    หากเราเก็บความชั่วไว้ในใจของเรา หากเรายึดบาปที่เรารู้อยู่แก่ใจไว้ในตัว พระเจ้าจะไม่สดับฟังเรา แต่คำอธิษฐานของจิตวิญญาณที่สำนึกผิดและเสียใจจะได้รับการยอมรับอยู่เสมอ เมื่อเราทำสิ่งที่ผิดที่เรารู้แก่ใจนั้นให้ถูก เราจะมั่นใจได้ว่าพระเจ้าจะทรงตอบคำทูลขอของเรา เราไม่มีทางเสนอความดีของเราเพื่อทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัยได้ แต่เป็นการกระทำของพระเยซูเพื่อเราที่จะช่วยให้เรารอด พระโลหิตของพระองค์จะชำระเรา แต่กระนั้นเรามีงานที่จะต้องทำเพื่อจะได้ทำตามเงื่อนไขของการยอมรับ {SC 95.3}ThSC 88.3

    เงื่อนไขอีกข้อหนึ่งของการอธิษฐานที่มีชัยชนะคือความเชื่อ “แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะไม่เป็นที่พอพระทัยเลย เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้านั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จแก่คนเหล่านั้นที่แสวงหาพระองค์” ฮีบรู 11:6 พระเยซูตรัสกับบรรดาสาวกของพระองค์ว่า “เมื่อพวกท่านอธิษฐานขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ แล้วพวกท่านจะได้รับสิ่งนั้น” มาระโก 11:24 เราเชื่อตามที่พระองค์ตรัสไว้หรือไม่ {SC 96.1}ThSC 88.4

    คำสัญญาที่พระเจ้าประทานให้ไว้นั้นเปิดกว้างและไม่มีขีดจำกัด และพระผู้ทรงรักษาสัญญานั้นสัตย์ซื่อ เมื่อเราไม่ได้รับสิ่งที่เราทูลขอในช่วงเวลาที่เราขอ เราก็ยังต้องเชื่อว่าพระเจ้าสดับฟังและพระองค์จะทรงตอบคำอธิษฐานของเรา เราทำผิดและสายตาสั้น จนบางครั้งเราทูลขอสิ่งที่ไม่เป็นพรแก่ตัวเราเอง และพระบิดาในสวรรค์ของเราทรงตอบคำอธิษฐานของเราด้วยความรัก โดยจะประทานสิ่งที่ให้ประโยชน์สูงสูดแก่เรา ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะปรารถนาถ้าหากเราสามารถมองเห็นสิ่งทั้งหมดตามสภาพที่เป็นจริงด้วยสายตาที่พระเจ้าประทานให้ เมื่อดูเสมือนหนึ่งว่าคำอธิษฐานของเราไม่ได้รับคำตอบ เราก็ยังต้องยึดมั่นในพระสัญญา เพราะเวลาที่เราจะได้รับคำตอบนั้นจะมาถึงอย่างแน่นอน และเราจะได้รับพระพรที่เราต้องการมากที่สุด แต่การอ้างว่า เมื่อเราอธิษฐาน เราจะได้รับคำตอบตามที่เราอยากให้เป็นและได้รับสิ่งของตามที่เราอยากได้อยู่เสมอ ความคิดเช่นนี้เป็นการคาดเดาทึกทักขึ้นเอาเอง พระเจ้าทรงมีพระปัญญาล้ำเลิศเกินที่จะทำผิดและพระองค์ทรงความดีเกินไปที่จะเก็บของดีใดๆ ไว้จากผู้ที่ดำเนินชีวิตอยู่ในหนทางที่ถูกต้อง ดังนั้นจงอย่ากลัวที่จะวางใจในพระองค์ แม้ท่านจะมองไม่เห็นคำตอบของคำอธิษฐานทันที จงวางใจในพระสัญญาที่แน่นอนของพระองค์ว่า “จงขอแล้วจะได้” {SC 96.2}ThSC 89.1

    หากเราทูลขอจากพระเจ้าด้วยความสงสัยและความกลัว หรือหาทางแก้ปัญหาทุกเรื่องโดยที่เรามองเห็นได้อย่างไม่ชัดเจน การกระทำโดยไม่มีความเชื่อเช่นนี้ จะเพียงแต่เป็นการเพิ่มความกังวลให้มากขึ้นและรุนแรงขึ้นเท่านั้น แต่หากเราเข้ามาหาพระเจ้าด้วยความรู้สึกว่าช่วยตนเองไม่ได้ และต้องการที่พึ่งซึ่งเป็นสภาพที่แท้จริงของเราและทูลขอสิ่งที่เราต้องการต่อพระองค์ผู้ทรงรอบรู้สารพัดสิ่ง ทูลขอด้วยความเชื่อที่ถ่อมตนและวางใจ พระองค์ผู้ทรงมองเห็นทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างและผู้ทรงปกครองทุกสิ่งตามพระประสงค์และพระวจนะของพระองค์ พระองค์สดับฟังคำร้องทูลของเราได้และจะสดับฟังอยู่เสมอ และจะทรงบันดาลให้แสงสว่างส่องเข้ามายังจิตใจของเรา โดยการอธิษฐานที่จริงใจ เราจะถูกชักนำให้เข้ามาเชื่อมต่อกับพระปัญญาของพระเจ้าได้ เราอาจจะไม่มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าพระพักตร์ของพระผู้ไถ่ทรงก้มลงมาอยู่เหนือเราด้วยความเมตตาและความรัก แต่แท้จริงก็เป็นเช่นนั้น เราอาจไม่รู้สึกได้ถึงการสัมผัสของพระเจ้าที่สายตาของเราจะมองเห็นได้ แต่พระหัตถ์ของพระเจ้าทรงสัมผัสเราด้วยความรักและพระเมตตาที่เปี่ยมด้วยพระเมตตาสงสารอันอ่อนโยน {SC 96.3}ThSC 89.2

    เมื่อเราเข้ามาทูลขอความเมตตาและพระพรจากพระเจ้า จิตใจของเราจะต้องมีวิญญาณแห่งความรักและการให้อภัย เราจะอธิษฐานได้อย่างไรว่า “ขอทรงยกบาปผิดของพวกข้าพระองค์ เหมือนพวกข้าพระองค์ยกโทษบรรดาคนที่ทำผิดต่อข้าพระองค์” และยังคงจมอยู่ในความรู้สึกของการไม่ให้อภัย มัทธิว 6:12 หากเราหวังที่จะให้พระเจ้าสดับฟังคำอธิษฐานของเรา เราจะต้องอภัยให้แก่ผู้อื่นด้วยท่าทีเดียวกันและในขนาดเดียวกันกับที่เราหวังจะได้รับการอภัย {SC 97.1}ThSC 90.1

    ความพากเพียรในการอธิษฐานเป็นเงื่อนไขหนึ่งของการได้รับคำตอบ เราจะต้องอธิษฐานอยู่เสมอหากเราต้องการเติบใหญ่ขึ้นในความเชื่อและประสบการณ์ เราจะต้อง “ขะมักเขม้นอธิษฐาน” อธิษฐานอย่างต่อเนื่องเพื่อ “เฝ้าระวังในเรื่องนี้ด้วยการขอบพระคุณ” โรม 12:12; โคโลสี 4:2 เปโตรกำชับผู้เชื่อให้ “สงบใจเพื่อการอธิษฐาน” 1 เปโตร 4:7 เปาโลชี้แนะว่า “จงทูลพระเจ้าให้ทรงทราบทุกสิ่งที่พวกท่านขอ โดยการอธิษฐานและการวิงวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ” ฟีลิปปี 4:6 ยูดากล่าวว่า “ท่านที่รักทั้งหลาย.....จงอธิษฐานโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จงรักษาตัวให้อยู่ในความรักของพระเจ้า” ยูดา 20, 21 การอธิษฐานอย่างไม่หยุดหย่อนเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์อย่างไม่ขาดสายระหว่างจิตวิญญาณกับพระเจ้าให้ต่อเนื่องตลอดเวลา เพื่อให้ชีวิตของพระเจ้าไหลเข้ามายังชีวิตของเรา และเพื่อความบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ในชีวิตของเราจะไหลกลับคืนไปยังพระเจ้าได้ {SC 97.2}ThSC 90.2

    ความหมั่นเพียรในการอธิษฐานเป็นสิ่งที่จำเป็น จงอย่าให้สิ่งใดขัดขวางท่านไม่ให้อธิษฐาน จงใช้ความสามารถทุกอย่างที่มีอยู่เพื่อรักษาการสื่อสัมพันธ์ระหว่างวิญญาณจิตของท่านกับพระเยซูไว้ จงหาทุกโอกาสที่จะไปยังที่ๆ มีการอธิษฐาน เราจะพบผู้ที่ต้องการสื่อกับพระเจ้าอย่างจริงจังได้ในการประชุมอธิษฐาน เขาจะซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของเขา และมีความจริงใจและร้อนใจที่จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทั้งหมดที่พวกเขาจะได้รับ เขาจะใช้ทุกโอกาสให้เป็นประโยชน์ที่จะนำตัวเขาเองให้เข้าไปอยู่ในสถานที่ๆ จะรับแสงสว่างจากสวรรค์ได้ {SC 98.1}ThSC 90.3

    เราจะต้องอธิษฐานร่วมกันในครอบครัว และเหนือสิ่งอื่นใด เราจะต้องไม่ละเลยการอธิษฐานเป็นการส่วนตัว เพราะนี่คือชีวิตของจิตวิญญาณ จิตวิญญาณที่ละเลยการอธิษฐานจะไม่มีทางเจริญเติบใหญ่ขึ้นได้ การอธิษฐานในครอบครัวหรือในที่สาธารณะเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ ขณะที่อยู่ตามลำพัง จงเปิดจิตใจออกให้กับสายพระเนตรของพระเจ้าที่คอยตรวจสอบอยู่ การอธิษฐานส่วนตัวมีไว้เพื่อให้พระเจ้าสดับฟังเท่านั้น หูของบรรดาผู้ที่อยากรู้อยากเห็นไม่ควรได้ยินภาระของการทูลอ้อนวอนเหล่านี้ ในขณะที่อธิษฐานเป็นการส่วนตัวนั้น จิตวิญญาณจะได้รับอิสรภาพจากอิทธิพลที่อยู่รอบข้าง หลุดพ้นจากความตื่นเต้นวุ่นวาย คำอธิษฐานไปถึงพระเจ้าด้วยความสงบแต่ร้อนรน อิทธิพลที่หวานชื่นและการสถิตอยู่ด้วยจะไหลออกมาจากพระองค์ผู้ทรงทอดพระเนตรในที่ลี้ลับ พระกรรณของพระองค์เปิดออกที่จะสดับฟังคำอธิษฐานที่ออกมาจากจิตใจ จิตวิญญาณจะยึดติดกับพระเจ้าด้วยความเชื่อที่สงบและเรียบง่าย และจะได้รับแสงสว่างของพระเจ้ามาไว้กับตนเองเพื่อจะได้เข้มแข็งขึ้น และมั่นคงในการต่อสู้กับซาตาน พระเจ้าทรงเป็นป้อมปราการแข็งแรงของเรา {SC 98.2}ThSC 91.1

    จงอธิษฐานในห้องส่วนตัว และในขณะทำงานประจำวัน จงหมั่นหันจิตใจของท่านขึ้นไปหาพระเจ้าเสมอ เอโนคทำเช่นนี้ในการดำเนินชีวิตร่วมกับพระเจ้า คำอธิษฐานในใจเหล่านี้จะลอยขึ้นไปถึงพระบัลลังก์แห่งพระคุณเหมือนเช่นควันหอมจากเครื่องเผาบูชาที่มีค่ายิ่ง ผู้ที่มีจิตใจติดสนิทอยู่กับพระเจ้าเช่นนี้ซาตานไม่อาจมีชัยเหนือเขาได้ {SC 98.3}ThSC 91.2

    ไม่มีเวลาใดหรือสถานที่ใดที่ไม่เหมาะสำหรับการทูลขอต่อพระเจ้า ไม่มีสิ่งใดที่จะขัดขวางวิญญาณแห่งการอธิษฐานที่จริงใจที่สามารถยกชูจิตใจของเราได้ ในท่ามกลางความแออัดของท้องถนน ในท่ามกลางการทำธุรกิจ เราส่งคำทูลขอของเราไปยังพระเจ้าและอ้อนวอนขอการทรงนำของพระองค์ได้ เหมือนเช่นเนฮะมีย์ทำในขณะที่ทูลขอต่อกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส เราจะหาห้องส่วนตัวเพื่อสื่อสารกับพระเจ้าได้ทุกที่ เราจะต้องเปิดประตูใจอยู่เสมอเพื่อคำทูลเชิญของเราจะขึ้นไปถึงพระเยซู เพื่ออัญเชิญพระองค์ให้ลงมาและเป็นแขกรับเชิญจากสวรรค์เพื่อสถิตในจิตวิญญาณของเรา {SC 99.1}ThSC 91.3

    แม้ว่าบรรยากาศรอบตัวเราจะเต็มไปด้วยมลทิลและความเลวร้าย แต่เราไม่จำเป็นต้องหายใจเอาบรรยากาศที่เป็นพิษเหล่านี้ เรามีโอกาสดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์ของสวรรค์ได้ เราปิดประตูทุกบานให้กับความนึกคิดที่ไม่สะอาดและไม่บริสุทธิ์ ด้วยการยกระดับจิตใจให้ขึ้นไปอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระเจ้าโดยการอธิษฐานด้วยความจริงใจได้ ผู้ที่เปิดจิตใจออกเพื่อรับการค้ำจุนและพระพรของพระเจ้าจะดำเนินชีวิตอยู่ในบรรยากาศที่บริสุทธิ์กว่าบรรยากาศของโลก และเขาจะสื่อสารกับสวรรค์อย่างสม่ำเสมอ {SC 99.2}ThSC 92.1

    เราจำเป็นต้องมีภาพของพระเยซูคริสต์ที่เด่นชัดมากยิ่งขึ้น และเข้าใจในคุณค่าของความจริงอันนิรันดร์ได้บริบูรณ์ยิ่งขึ้น ความงดงามของความบริสุทธิ์จะต้องเติมเต็มอยู่ในจิตใจของบุตรทั้งหลายของพระเจ้า และเพื่อที่จะทำให้เรื่องนี้สำเร็จได้ เราจะต้องขอให้พระเจ้าทรงเปิดเผยสิ่งต่างๆ ของสวรรค์ให้แก่เรา {SC 99.3}ThSC 92.2

    จงนำจิตวิญญาณของท่านออกมาและยกชูให้สูงขึ้น เพื่อพระเจ้าจะประทานบรรยากาศแห่งสวรรค์ให้เราหายใจ เราจะต้องใกล้ชิดกับพระเจ้ามากจนกระทั่งเมื่อทุกการทดลองที่เราไม่คาดคิดเกิดขึ้น ความคิดของเราจะหันไปหาพระองค์อย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนดอกไม้ที่หันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์ {SC 99.4}ThSC 92.3

    จงนำความต้องการ ความสุข ความโศกเศร้า ความกังวลและความกลัวของท่านมาต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า ท่านไม่ได้ไปรบกวนพระองค์ ท่านไม่เคยทำให้พระองค์ทรงเบื่อหน่าย พระองค์ผู้ทรงทราบจำนวนเส้นผมบนศีรษะของท่านจะไม่ทรงเพิกเฉยต่อความต้องการของบุตรทั้งหลายของพระองค์ “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมีความสงสารและความเมตตากรุณาเพียงไร” ยากอบ 5:11 พระทัยแห่งรักของพระองค์รับรู้ถึงความโศกเศร้าของเราและแม้แต่คำพูดของเราที่พูดถึงเรื่องเหล่านั้นก็สัมผัสพระทัยของพระองค์ จงนำทุกสิ่งที่ทำให้ความนึกคิดของท่านวุ่นวายไปหาพระองค์ ไม่มีสิ่งใดใหญ่เกินไปที่พระองค์จะทรงแบกรับไว้ไม่ได้ เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ค้ำชูโลกไว้ พระองค์ทรงควบคุมเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในจักรวาล ไม่มีสิ่งใดในเรื่องเกี่ยวกับความสงบสุขของเราที่เล็กเกินไปจนพระองค์ไม่อาจสังเกต ไม่มีฉากหนึ่งใดในประสบการณ์ชีวิตของเราที่มืดมนเกินกว่าที่พระองค์จะทรงอ่านได้ ไม่มีความยุ่งเหยิงใดที่ยากเกินไปที่พระองค์จะทรงแก้ไขไม่ได้ ไม่มีภัยพิบัติใดจะเกิดขึ้นกับบุตรของพระองค์แม้เพียงผู้เล็กน้อยที่สุด ไม่มีความกังวลใดจะมารังควานจิตวิญญาณ ไม่มีความสุขชื่นบานและไม่มีคำอธิษฐานจริงใจใดที่หลุดออกจากริมฝีปากของเราโดยที่พระบิดาบนสวรรค์ของเราไม่ทรงสังเกตเห็น หรือไม่ได้ทรงให้ความสนใจในทันที “พระองค์ทรงรักษาคนที่ใจแตกสลาย และทรงพันแผลให้เขา” สดุดี 147:3 ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้าและจิตวิญญาณทุกดวงนั้นชัดเจนและบริบูรณ์ ราวกับว่าในโลกนี้ไม่มีจิตวิญญาณอื่นอีกแล้วที่จะมาแย่งความหวงหาของพระองค์ ราวกับพระองค์ไม่ได้ประทานพระบุตรอันเป็นที่รักยิ่งของพระองค์ให้แก่จิตวิญญาณอื่น {SC 100.1}ThSC 92.4

    พระเยซูตรัสว่า “ท่านจะทูลขอในนามของเรา และเราจะไม่บอกท่านว่าเราจะอ้อนวอนพระบิดาเพื่อท่าน เพราะว่าพระบิดาเองก็ทรงรักพวกท่าน” “เราเลือกพวกท่าน.....เพื่อว่าเมื่อพวกท่านทูลขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะประทานสิ่งนั้นแก่ท่าน” ยอห์น 16:26, 27; 15:16 แต่การจะอธิษฐานในพระนามของพระเยซูนั้นมีความหมายมากกว่าการเอ่ยพระนามของพระองค์ในตอนต้นและตอนท้ายของการอธิษฐาน เราจะต้องอธิษฐานด้วยความนึกคิดและด้วยวิญญาณของพระเยซู ในขณะที่เราเชื่อพระสัญญาของพระองค์ จงพึ่งพิงในพระคุณของพระองค์และทำงานในพระราชกิจของพระองค์ {SC 100.2}ThSC 93.1

    พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้เราเป็นผู้ที่อยู่สันโดษหรือนักบวชและแยกตนเองออกไปจากโลกเพื่ออุทิศตนเองอยู่กับการบูชากราบไหว้ ชีวิตของเราจะต้องเหมือนชีวิตของพระคริสต์ คือมีชีวิตอยู่ท่ามกลางภูเขาและฝูงชน ผู้ที่ไม่ทำอะไรนอกจากอธิษฐานเพียงอย่างเดียว ไม่ช้าไม่นานก็จะเลิกอธิษฐาน หรือไม่เช่นนั้นคำอธิษฐานของเขาก็จะกลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่ต้องทำ เมื่อมนุษย์นำตัวเองออกไปจากสังคม ออกไปจากขอบเขตหน้าที่ของคริสเตียนและการแบกกางเขน เมื่อเขาเลิกที่จะทำงานอย่างจริงใจเพื่อถวายพระอาจารย์ ผู้ทรงกระทำกิจอย่างจริงใจเพื่อเขาทั้งหลาย เขาก็จะสูญเสียหัวข้อในการอธิษฐานไป และเขาจะไม่มีแรงจูงใจเพื่อการนมัสการ คำอธิษฐานของเขาก็จะมีแต่เรื่องส่วนตัวและเห็นแก่ตัว พวกเขาไม่อาจที่จะอธิษฐานเผื่อความขัดสนของมนุษยชาติหรือการเสริมสร้างอาณาจักรของพระคริสต์โดยการทูลขอกำลังที่จะทำการต่อไป {SC 101.1}ThSC 93.2

    เราต้องพบกับความสูญเสียเมื่อเราละเลยสิทธิของการเข้าสื่อสัมพันธ์ร่วมกันเพื่อเสริมกำลังและให้กำลังใจซึ่งกันและกันในงานรับใช้พระเจ้า ความจริงที่อยู่ในพระวจนะของพระเจ้าได้สูญเสียความชัดเจนและความสำคัญไปจากความนึกคิดของเรา จิตใจของเราจะไม่ได้รับความกระจ่างและไม่มีอิทธิพลแห่งการชำระให้บริสุทธิ์มาปลุกให้ตื่นขึ้น และจิตวิญญาณของเราก็จะถดถอยลงไป การขาดความเห็นใจซึ่งกันและกันที่มีอยู่ในสังคมคริสเตียนของเรา ทำให้เราสูญเสียไปมาก ผู้ที่แยกตนเองออกไปก็ไม่ได้ทำหน้าที่ที่พระเจ้าทรงจัดวางให้เขา การพัฒนาการทางสังคมที่เหมาะสมจะนำเราให้เห็นใจผู้อื่นและเป็นวิธีที่จะพัฒนาและเสริมความแข็งแกร่งให้แก่เราเพื่องานรับใช้พระเจ้า {SC 101.2}ThSC 94.1

    หากคริสเตียนจะสมาคมร่วมกัน พูดคุยกันถึงเรื่องความรักของพระเจ้าและความจริงของการไถ่ให้รอดที่มีค่ายิ่ง จิตใจของเขาจะได้รับความสดชื่นและเขาจะนำความสดชื่นมาให้แก่กันและกัน เราจะได้เรียนรู้ถึงพระบิดาในสวรรค์ของเรามากขึ้นทุกวัน ได้รับประสบการณ์พระคุณของพระเจ้าที่สดใหม่ และเราจะปรารถนาที่จะพูดถึงความรักของพระองค์ และเมื่อเราทำเช่นนี้ จิตใจของเราจะอบอุ่นและได้รับกำลังใจ หากเราคิดและพูดเรื่องพระเยซูให้มากขึ้น และพูดถึงตัวเองให้น้อยลง พระเจ้าก็จะสถิตอยู่ร่วมกับเรามากยิ่งขึ้น {SC 101.3}ThSC 94.2

    หากเราเพียงแต่จะคิดถึงพระเจ้ามากเท่าๆ กับที่พระองค์ทรงมีต่อเรา ตามที่เรามีหลักฐานที่แสดงถึงความห่วงใยของพระองค์ เราก็จะมีพระองค์อยู่ในความนึกคิดของเราเสมอ และจะมีความสุขที่ได้สนทนาถึงเรื่องของพระองค์และสรรเสริญพระองค์ เราพูดถึงสิ่งของฝ่ายโลกเพราะเราสนใจในของเหล่านั้น เราพูดถึงเพื่อนของเราเพราะเรารักเขา ความสุขและความทุกข์ของเราถูกผูกมัดอยู่กับพวกเพื่อนเหล่านี้ แต่ถึงกระนั้น เรามีเหตุผลยิ่งใหญ่อย่างไม่จำกัดที่จะรักพระเจ้ามากกว่าที่จะรักเพื่อนของเราในโลกนี้ ควรจะต้องเป็นเรื่องปกติที่สุดในโลกที่เราจะให้พระองค์ทรงเป็นหนึ่งในความคิดทั้งหมดของเรา ที่เราจะพูดถึงคุณความดีของพระองค์และบอกเล่าถึงอำนาจของพระองค์ ของประทานอันมีค่าที่พระองค์ประทานให้เรานั้นไม่ได้มีไว้เพื่อกลบกลืนความคิดและความรักของเรา จนเราไม่มีอะไรที่จะถวายพระเจ้าได้ ของประทานเหล่านี้จะต้องเตือนสติเราให้ระลึกถึงเรื่องพระองค์อยู่ตลอดเวลา และผูกเราเข้าด้วยสายใยแห่งความรักและการขอบพระคุณต่อพระผู้สถิตในสวรรค์ ผู้ประทานทุกสิ่งให้แก่เรา เราอาศัยอยู่ใกล้พื้นราบของโลกมากเกินไป จงลืมตาของเราขึ้นไปยังประตูของพระวิหารที่เปิดอยู่เบื้องบน ที่ๆ แสงสว่างแห่งพระสิริของพระเจ้าส่องไปยังพระพักตร์ของพระคริสต์ พระองค์ “ทรงสามารถช่วยคนทั้งหลายที่เข้ามาใกล้พระเจ้าโดยทางพระองค์นั้นอย่างเต็มที่” ฮีบรู 7:25 {SC 102.1}ThSC 95.1

    เราควรต้องสรรเสริญพระเจ้าให้มากกว่านี้ “เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ เพราะการอัศจรรย์ต่างๆ ของพระองค์ที่มีต่อมนุษย์ทั้งหลาย” สดุดี 107:8 กิจกรรมในการนมัสการของเราไม่ควรจะมีแต่เรื่องการขอและการรับเท่านั้น จงอย่าคิดถึงแต่เรื่องความต้องการของเราและอย่าคิดถึงผลประโยชน์ที่เราจะได้รับ เราไม่ได้อธิษฐานขอสิ่งใดมากเกินไป แต่เราถวายการขอบคุณน้อยเกินไป เราได้รับพระเมตตาคุณของพระเจ้าอยู่เสมอ แต่เรากล่าวคำขอบคุณพระองค์น้อยมากเพียงไร เราสรรเสริญพระองค์ในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้แก่เราน้อยเกินไปเพียงไร {SC 102.2}ThSC 95.2

    ในอดีตกาล พระเจ้าทรงบัญชาชนชาติอิสราเอลเมื่อเข้ามาประชุมร่วมกันเพื่องานรับใช้ของพระองค์ว่า “ท่านทั้งหลายจงรับประทานที่นั่นเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ทั้งท่านและครอบครัวของท่านจงยินดีในกิจการทั้งสิ้นซึ่งท่านได้ทำนั้น” เฉลยธรรมบัญญติ 12:7 สิ่งที่เราทำเพื่อถวายเกียรติพระเจ้านั้น จะต้องทำด้วยความชื่นชมยินดี ด้วยบทเพลงสรรเสริญและด้วยการขอบพระคุณ ไม่ใช่ด้วยความเศร้าหรือความหมดหวัง {SC 103.1}ThSC 96.1

    พระเจ้าของเราเป็นพระบิดาผู้ทรงอ่อนโยนและเมตตา เราจะต้องไม่มองว่าการรับใช้พระองค์เป็นกิจกรรมที่ทำให้จิตใจเศร้าสลดและน่าเบื่อหน่าย การนมัสการพระเจ้าและการมีส่วนในพระราชกิจของพระองค์จะต้องเป็นเรื่องที่ให้ความสุข พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้บุตรทั้งหลายของพระองค์ซึ่งเป็นผู้ที่พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมความรอดยิ่งใหญ่ไว้ให้ต้องมาทำตัวราวกับว่าพระองค์ทรงเป็นนายงานที่เหี้ยมโหดและเข้มงวด พระองค์ทรงเป็นพระสหายเลิศที่สุดของพวกเขาและเมื่อพวกเขานมัสการพระองค์ พระองค์ทรงประสงค์ที่จะสถิตอยู่ร่วมด้วย เพื่ออวยพระพรและปลอบประโลมเขา เติมจิตใจของเขาให้เต็มล้นด้วยความสุขและความรัก พระเจ้าทรงปรารถนาให้บุตรทั้งหลายมีความสุขสบายในงานรับใช้พระองค์ และพบความปีติยินดีมากกว่าความยากลำบากในพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ทรงประสงค์ให้ผู้ที่เข้าร่วมนมัสการพระองค์ได้นำความคิดที่มีค่าของเรื่องความห่วงใยและความรักของพระองค์ไป เพื่อพวกเขาจะได้เป็นกำลังใจในทุกงานที่เขาต้องทำในชีวิต เพื่อเขาจะมีพระคุณที่จะจัดการกับทุกเรื่องด้วยความเที่ยงตรงและสัตย์ซื่อ {SC 103.2}ThSC 96.2

    เราจะต้องเข้ามาอยู่ใกล้กางเขน พระคริสต์และการที่พระองค์ทรงถูกตรึงจะต้องเป็นเรื่องที่เราไตร่ตรอง เป็นเรื่องที่เราสนทนาและเป็นเรื่องที่ให้ความสุขมากที่สุดของเรา เราจะต้องระลึกอยู่เสมอถึงพระพรทุกอย่างที่เราได้รับจากพระเจ้า และเมื่อเราตระหนักถึงความรักยิ่งใหญ่ของพระองค์ เราจะต้องเต็มใจที่จะมอบทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ที่ถูกตรึงบนกางเขนเพื่อเรา {SC 103.3}ThSC 96.3

    จิตวิญญาณจะบินสูงขึ้นไปจนใกล้สวรรค์ด้วยปีกแห่งการสรรเสริญ การนมัสการพระเจ้าที่บัลลังก์เบื้องบนจะทำได้ด้วยบทเพลงและเสียงดนตรี และในขณะที่เรากล่าวคำขอบพระคุณ เรากำลังเลียนแบบการนมัสการของเหล่าชาวสวรรค์ “ผู้ถวายเครื่องบูชาคือการขอบพระคุณก็ให้เกียรติ” แก่พระยาห์เวห์ สดุดี 50:23 ให้เราเข้ามาหาพระผู้สร้างของเราด้วยความสุขอย่างยำเกรง พร้อมกับ “การขอบพระคุณและเสียงเพลง” อิสยาห์ 51:3 {SC 104.1}ThSC 97.1

    Larger font
    Smaller font
    Copy
    Print
    Contents