Loading...
Larger font
Smaller font
Copy
Print
Contents
สงครามครั้งยิ่งใหญ่ - Contents
  • Results
  • Related
  • Featured
No results found for: "".
  • Weighted Relevancy
  • Content Sequence
  • Relevancy
  • Earliest First
  • Latest First

    บท 18 -นักปฏิรูปชาวอเมริกันท่านหนึ่ง

    ชาวนาซื่อตรงและจริงใจคนหนึ่งที่พระเจ้าทรงเลือกไว้โดยเฉพาะเพื่อให้ประกาศข่าวการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์นั้นเคยถูกชักนำให้สงสัยว่าพระคัมภีร์มีต้นกำเนิดมาจากพระเจ้าจริงหรือ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังมีความปรารถนาที่จะเรียนรู้ความจริง ช่วงต้นของชีวิตวิลเลียม มิลเลอร์ [William Miller] ก็มีลักษณะคล้ายคลึงกับชีวิตของนักปฏิรูปคนอื่นๆ ที่ต้องต่อสู้กับความยากจน และจึงได้รับบทเรียนยิ่งใหญ่ของการใช้แรงงานและการละทิ้งตนเอง สมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวของเขาต่างมีคุณลักษณะของการพึ่งตนเองและมีจิตใจที่รักเสรี มีความสามารถในเรื่องของความอดทนและรักชาติอย่างแรงกล้า สิ่งเหล่านี้จึงเป็นคุณสมบัติโดดเด่นที่มีอยู่ในอุปนิสัยของเขาด้วย คุณพ่อของเขาเป็นผู้นำในกองทหารปฏิวัติ และรับใช้ในกองทัพด้วยความเสียสละเพื่อต่อสู้และทนกับความลำบากในช่วงเวลาที่ยุ่งเหยิง ซึ่งทำให้เรามองเห็นสภาพบีบคั้นที่มีต่อชีวิตช่วงเยาว์วัยของมิลเลอร์ {GC 317.1}GCth17 274.1

    มิลเลอร์มีร่างกายที่สมบูรณ์และตั้งแต่ช่วงวัยเด็กก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขามีสติปัญญาที่ดีกว่าเด็กทั่วไป ขณะที่เขาโตขึ้น คุณสมบัติเหล่านี้ก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น ความนึกคิดของเขาว่องไวและพัฒนาอย่างสมบูรณ์ และเขามีความกระตือรือร้นใฝ่หาความรู้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้รับประโยชน์จากการศึกษาในระดับอุดมศึกษาก็ตาม แต่การเป็นคนรักการศึกษาและนิสัยที่ชอบคิดอย่างรอบคอบและช่างพินิจพิเคราะห์ของเขาทำให้เขาเป็นคนตัดสินใจดีและมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล เขามีนิสัยทางศีลธรรมที่ไร้ตำหนิและมีชื่อเสียงที่น่าอิจฉายกย่อง เขาได้รับการยอมรับว่าซื่อสัตย์ มัธยัสถ์และโอบอ้อมอารี ตั้งแต่อายุยังน้อย เขาทุ่มเทกำลังและหมั่นฝึกฝนจนมีความเชี่ยวชาญ แต่เขายังคงรักษานิสัยของการเรียนรู้ไว้ เขารับหน้าที่ต่างๆ ทั้งทางฝ่ายพลเรือนและฝ่ายการทหารจนได้รับความเชื่อถือ และดูประหนึ่งว่าหนทางที่นำไปสู่ความร่ำรวยและเกียรติยศเปิดกว้างไว้ให้เขาแล้ว {GC 317.2}GCth17 274.2

    แม่ของเขาเป็นสตรีที่มีความศรัทธาอันแก่กล้าอย่างล้ำเลิศ และเขาได้รับอิทธิพลด้านศาสนาตั้งแต่ช่วงวัยเด็ก แต่ในช่วงต้นของวัยหนุ่ม เขาหลงเข้าไปยังสังคมของพวกเทวูเบกขานิยม [deists คือผู้ที่เชื่อว่ามีพระเจ้าซึ่งเป็นผู้ที่สร้างสรรพสิ่งในจักรวาลตั้งแต่เริ่มต้น แต่หลังจากนั้นก็ปล่อยให้จักรวาลดำเนินไปตามวิถีทางของมันเองโดยไม่ได้เข้ามาแทรกแซงใดๆ ในขณะเดียวกันพวกเขาก็เชื่อมั่นในเหตุผลด้วย เชื่อว่าเหตุผลเท่านั้นที่จะช่วยให้มนุษย์เกิดความเข้าใจศาสนาและศีลธรรมอย่างถูกต้อง และคิดว่าจะสามารถใช้เหตุผลพิสูจน์ในเรื่องพระเจ้าได้] ซึ่งเป็นอิทธิพลที่แรงกว่าแหล่งอื่นเพราะคนส่วนใหญ่ในสังคมนี้เป็นพลเมืองดีและเป็นคนใจบุญ และมีจิตใจเมตตากรุณา คนกลุ่มนี้ดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางสถาบันของคริสเตียน ในระดับหนึ่งอุปนิสัยของพวกเขาจึงถูกหล่อหลอมด้วยสภาพที่ล้อมรอบพวกเขาไว้ ส่วนความเป็นเลิศที่ทำให้พวกเขาได้รับความเคารพและความวางใจนั้น พวกเขาเป็นหนี้บุญคุณพระคัมภีร์ แต่กระนั้นของประทานอันดีเลิศเหล่านี้มักถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดจนส่งผลเสียต่อพระวจนะคำของพระเจ้า จากการเข้าร่วมสังคมกับชายกลุ่มนี้ ทำให้มิลเลอร์รับความนึกคิดของพวกเขาไว้ ในช่วงเวลานั้นการแปลความหมายพระคัมภีร์ก่อให้เกิดความยุ่งยากซึ่งดูประหนึ่งว่ามันยากเกินกว่าที่เขาจะจัดการได้ แต่แนวความเชื่อใหม่ของเขาซึ่งถึงแม้จะตัดพระคัมภีร์ทิ้งไป ก็ไม่ได้เสนอให้เอาสิ่งใดที่ดีกว่าเข้ามาทดแทน เขาจึงยังคงอยู่ห่างไกลจากความรู้สึกพึงพอใจ อย่างไรก็ตามเขายังคงยึดติดอยู่กับความเชื่อนี้นานประมาณ 12 ปี แต่เมื่อเขาอายุ 34 ปี พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดลใจให้เขารู้สึกถึงสภาพของเขาที่เป็นคนบาป เขาพบว่า ความเชื่อเดิมของเขาไม่ได้ให้ความเชื่อมั่นว่าเขาจะมีความสุขเมื่อเขาตายไปแล้ว อนาคตนั้นมืดมนและหดหู่ ต่อมาในภายหลัง เขาได้กล่าวถึงความรู้สึกของเขาในขณะนั้นว่า {GC 318.1}GCth17 275.1

    “การทำลายล้างเป็นความคิดที่โหดร้ายและเย็นชา และเมื่อพิจารณาให้ดีแล้ว ทุกอย่างคงจะต้องถูกทำลายอย่างแน่นอน สวรรค์เป็นเหมือนทองเหลืองที่วางอยู่เหนือศีรษะของข้าพเจ้าและพื้นผิวโลกก็เป็นเหมือนเหล็กอยู่ใต้เท้าข้าพเจ้า อะไรคือชั่วนิจนิรันดร์ และความตายล่ะ ทำไมถึงมี ยิ่งข้าพเจ้าพยายามหาเหตุผลมากขึ้นเท่าไร ข้าพเจ้าก็ยิ่งออกห่างจากคำตอบมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งข้าพเจ้าคิดให้มากขึ้นเท่าไร ข้อสรุปของข้าพเจ้าก็กระจายออกไปมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ข้าพเจ้าพยายามหยุดคิด แต่ข้าพเจ้าควบคุมความคิดของตนเองไม่ได้ ข้าพเจ้าเศร้าหมองอย่างแท้จริง แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าบ่นและคร่ำครวญ แต่ไม่ทราบบ่นถึงใคร ข้าพเจ้าทราบดีว่ามีสิ่งที่ผิด แต่ไม่ทราบจะทำอย่างไรหรือจะไปหาสิ่งที่ถูกจากที่ไหน ข้าพเจ้าร้องคร่ำครวญ แต่ไร้ซึ่งความหวัง” {GC 318.2}GCth17 275.2

    เขาอยู่ในสภาพเช่นนี้นานหลายเดือน แล้วเขาก็เล่าต่อไปว่า “ในทันใดนั้น พระลักษณะของพระผู้ช่วยให้รอดที่ชัดเจนมากไหลเข้ามาสู่ความคิดของข้าพเจ้า จะมีใครที่ช่างประเสริฐและกอปรด้วยพระเมตตาคุณมากไปกว่าพระองค์ ผู้ทรงมาลบมลทินบาปของการล่วงละเมิดของเราทั้งหลาย และช่วยเราให้รอดพ้นจากการต้องทนทุกข์ซึ่งเป็นการลงโทษของบาป ข้าพเจ้ารู้สึกทันทีว่า บุคคลท่านนั้นจะต้องน่ารักมากเพียงไร และจินตนาการว่าข้าพเจ้าซบตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมพระกรและวางใจในพระเมตตาของท่านผู้นั้น แต่ก็เกิดคำถามขึ้นมาว่า จะพิสูจน์อย่างไรว่าบุคคลเช่นนี้มีจริง ข้าพเจ้าทราบดีว่านอกเหนือจากหลักฐานที่มีอยู่ในพระคัมภีร์แล้ว ข้าพเจ้าไม่อาจหาหลักฐานอื่นใดเพื่อยืนยันว่ามีพระผู้ช่วยให้รอดเช่นนี้จริง หรือแม้จะหาต่อไปในอนาคตกาล……..{GC 319.1}GCth17 276.1

    “ข้าพเจ้าเข้าใจแล้วว่า พระคัมภีร์ทำให้มองเห็นภาพของพระผู้ช่วยให้รอดในลักษณะที่ข้าพเจ้าต้องการพอดีและข้าพเจ้าก็งุนงงเมื่อพบว่าหนังสือที่พระเจ้าไม่ได้ดลใจทำไมจึงพัฒนาหลักการที่สมบูรณ์แบบที่ปรับให้เข้ากับความต้องการของโลกที่ล้มลงในบาปได้เป็นอย่างดี ข้าพเจ้าจึงถูกบังคับให้ยอมรับว่าพระคัมภีร์จะต้องเป็นการเปิดเผยจากพระเจ้า เป็นหนังสือที่ข้าพเจ้าชื่นชอบที่สุด และข้าพเจ้าได้ค้นพบมิตรสหายคือพระเยซู พระผู้ช่วยให้รอดทรงเป็นเอกในท่ามกลางคนนับหมื่น และพระคัมภีร์ที่เมื่อก่อนหน้านี้ดูมืดมนและขัดแย้งกัน บัดนี้กลายเป็นตะเกียงแก่เท้าของข้าพเจ้าและเป็นความสว่างแก่ทางของข้าพเจ้า ความนึกคิดของข้าพเจ้าสงบและเต็มอิ่ม ข้าพเจ้าพบว่าพระเจ้าทรงเป็นพระศิลาที่อยู่ในท่ามกลางมหาสมุทรแห่งชีวิต บัดนี้ข้าพเจ้าจึงศึกษาพระคัมภีร์เป็นหลักและข้าพเจ้ากล่าวอย่างจริงใจว่า ข้าพเจ้าศึกษาพระคัมภีร์ด้วยความสุขยิ่งใหญ่ ข้าพเจ้าค้นพบแล้วว่ายังมีเรื่องอีกกว่าครึ่งที่ข้าพเจ้าไม่เคยรับรู้ ข้าพเจ้าคิดสงสัยว่าทำไมก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าจึงมองไม่เห็นความงดงามและพระสิริที่อยู่ในนั้นและแปลกใจที่ข้าพเจ้าเคยปฏิเสธพระคัมภีร์ ข้าพเจ้าพบทุกสิ่งที่หัวใจของข้าพเจ้าปรารถนา และวิธีรักษาโรคทั้งหลายของวิญญาณจิต ข้าพเจ้าไม่สนใจที่จะอ่านหนังสืออื่นๆ และใส่ใจที่จะได้พระปัญญาจากพระเจ้า” S. Bliss, Memoirs of Wm. Miller หน้า 65-67 {GC 319.2}GCth17 276.2

    มิลเลอร์ประกาศความเชื่อในศาสนาที่เขาเคยเหยียดหยามต่อหน้าสาธารณชน แต่เพื่อนทั้งหลายที่ไม่เชื่อพระเจ้าต่างไม่รีรอที่จะยกข้อโต้แย้งทั้งหมดที่เขาเองมักเคยใช้โต้เกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้าที่มีในพระคัมภีร์ ในเวลานั้นเขายังไม่พร้อมที่จะตอบพวกเพื่อนๆ แต่เขาคิดคำนึงว่าหากพระคัมภีร์เป็นหนังสือที่พระเจ้าทรงใช้เปิดเผยแล้ว พระคัมภีร์ทุกตอนจะต้องสอดคล้องกันและในเมื่อเป็นหนังสือที่ประทานให้สั่งสอนมนุษย์ พระคัมภีร์จะต้องปรับให้เขาเข้าใจได้ เขาจึงตั้งใจศึกษาพระคัมภีร์ด้วยตนเอง และค้นหาให้แน่ใจว่าทุกสิ่งที่ดูว่าขัดแย้งกันจะกลมกลืนกันได้หรือไม่ {GC 319.3}GCth17 276.3

    เขามุ่งมั่นละทิ้งความคิดเห็นที่เขาเคยมีมาทั้งหมด และงดใช้หนังสืออธิบายพระคัมภีร์ เขาเปรียบเทียบข้อพระคัมภีร์แต่ละข้อด้วยข้อพระคัมภีร์โดยอาศัยความช่วยเหลือจากข้อพระคัมภีร์ที่อ้างอิงในเนื้อหาและจากหนังสือคำศัพท์สัมพันธ์ เขาศึกษาอย่างสม่ำเสมอและอย่างมีระบบ ตั้งแต่พระธรรมปฐมกาล เขาอ่านทีละข้อ ศึกษาอย่างต่อเนื่องด้วยอัตราเร็วที่ไม่เร็วเกินกว่าที่จะเข้าใจความหมายของข้อพระคัมภีร์เป็นตอนๆ และไม่รู้สึกลำบากใจกับข้อพระคัมภีร์ตอนนั้นๆ อีกต่อไป เมื่อเขาพบเรื่องใดที่ไม่ชัดเจน เขาก็จะนำข้อพระคัมภีร์ข้อนั้นมาเปรียบเทียบกับข้อพระธรรมอื่นที่ดูว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขากำลังศึกษาอยู่ ทุกคำที่อยู่ในพระคัมภีร์ผ่านการพิจารณาอย่างเหมาะสมตามหัวข้อที่อยู่ในข้อพระคัมภีร์นั้น และถ้าหากมุมมองเกี่ยวกับข้อพระคัมภีร์ต่างๆ มีความเกี่ยวพันกันอยู่แล้ว ข้อความเหล่านั้นก็จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาอีกต่อไป ด้วยประการฉะนี้ เมื่อใดก็ตามที่เขาพบข้อความที่เข้าใจยาก เขาก็จะพบคำอธิบายในส่วนอื่นของพระคัมภีร์ ในขณะที่เขาศึกษาพระคัมภีร์พร้อมกับการอธิษฐานอย่างร้อนรนจริงใจเพื่อขอความเข้าใจจากพระเจ้า ข้อความที่เขาไม่เข้าใจก็จะได้รับความกระจ่าง เขาสัมผัสกับความจริงที่ผู้ประพันธ์สดุดีเขียนไว้ว่า “การอธิบายพระวจนะของพระองค์ให้ความสว่าง ทั้งให้ความเข้าใจแก่คนรู้น้อย” สดุดี 119:130 {GC 320.1}GCth17 277.1

    เขาศึกษาพระธรรมดาเนียลและวิวรณ์ด้วยความสนใจยิ่ง เขาใช้หลักการการแปลความหมายพระคัมภีร์เช่นเดียวกับที่ใช้ในพระคัมภีร์ข้ออื่นๆ และพบว่า เขาเข้าใจสัญลักษณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการพยากรณ์ได้ ซึ่งสร้างความยินดีอย่างยิ่งให้กับเขา เขาเห็นคำพยากรณ์เท่าที่เกิดขึ้นแล้ว เกิดขึ้นตรงตามที่บันทึกไว้ ส่วนตัวเลข สัญลักษณ์ อุทาหรณ์ การเปรียบเทียบ และอื่นๆ ล้วนอธิบายส่วนเกี่ยวข้องที่สัมพันธ์กัน หรือข้อความที่ใช้บรรยายเพื่ออธิบายข้อพระคัมภีร์อื่นๆ และเมื่อนำมาใช้อธิบายแล้วก็ทำให้เข้าใจอย่างตรงไปตรงมา มิลเลอร์กล่าวว่า “ข้าพเจ้าพอใจยิ่งที่ศึกษาพระคัมภีร์ด้วยวิธีนี้ ด้วยว่าพระคัมภีร์มีระบบในการเปิดเผยความจริงที่ชัดเจนและเรียบง่ายจนผู้เดินเท้าธรรมดาแม้จะโง่เขลาก็ไม่อาจเข้าใจผิด” Bliss หน้า 70 ข้อแล้วข้อเล่าของสายโซ่แห่งความจริงตอบแทนความพยายามของเขา ในขณะที่เขาก้าวเดินไปทีละก้าวเพื่อค้นหาเส้นทางที่ยิ่งใหญ่ของคำพยากรณ์ ทูตแห่งสวรรค์นำความคิดของเขาและเปิดเผยความหมายของพระคัมภีร์ให้เขาเข้าใจ {GC 320.2}GCth17 277.2

    เขาใช้คำพยากรณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตเป็นเกณฑ์เพื่อพิจารณาคำพยากรณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้นในอนาคต เขาพึงพอใจว่าแนวคิดที่คนทั่วไปเชื่อกันอย่างแพร่หลายว่าการครอบครองฝ่ายจิตวิญญาณของพระคริสต์จะเกิดขึ้นหนึ่งพันปีก่อนสิ้นโลกไม่ใช่เป็นเรื่องที่พระวจนะของพระเจ้าสอนไว้ หลักคำสอนนี้เน้นว่าหนึ่งพันปีแห่งความชอบธรรมและสันติสุขเกิดขึ้นก่อนการเสด็จมาของพระเป็นเจ้า จึงเลื่อนวันอันน่าสะพรึงกลัวของพระเจ้าออกไปเสียยาวไกล ถึงแม้ว่าความคิดเช่นนี้ดูจะสร้างความสบายใจให้ก็ตามที แต่เรื่องนี้ตรงกันข้ามกับคำสอนที่พระคริสต์และสาวกทั้งหลายของพระองค์สอนไว้ว่า ต้นข้าวสาลีและต้นข้าวละมานจะต้องโตขึ้นพร้อมๆ กันจนถึงเวลาเก็บเกี่ยวซึ่งหมายถึงวันที่โลกนี้สิ้นสุด เมื่อ “คนชั่วและคนเจ้าเล่ห์จะเลวลง” เมื่อ “ในสมัยจะสิ้นยุคนั้น จะเกิดเหตุการณ์กลียุค” และอาณาจักรแห่งความมืดจะยังคงดำเนินต่อไปจนพระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา และ “จะทรงประหารมันด้วยลมพระโอษฐ์ของพระองค์ และจะทรงผลาญให้สูญไปด้วยการเสด็จมาอันรุ่งโรจน์ของพระองค์” มัทธิว 13:30; 38-41 2 ทิโมธี 3:13, 1 (TBS1971) 2 เธสะโลนิกา 2:8 {GC 321.1}GCth17 278.1

    หลักคำสอนเรื่องคนทั้งโลกจะกลับใจและการครอบครองฝ่ายวิญญาณของพระคริสต์นั้นไม่ใช่เป็นเรื่องที่คริสตจักรในสมัยของอัครทูตสอน คริสเตียนทั่วไปไม่ยอมรับคำสอนนี้จนกระทั่งถึงช่วงประมาณต้นศตวรรษที่สิบแปด ผลลัพธ์ที่ได้นั้นชั่วร้ายเช่นเดียวกับคำสอนผิดอื่นๆ หลักคำสอนนี้สอนให้มนุษย์มองหาการเสด็จกลับมาของพระคริสต์ว่าเป็นเรื่องไกลตัว และขัดขวางพวกเขาจากการเอาใจใส่เครื่องหมายต่างๆ ที่ประกาศถึงเวลาที่พระองค์ใกล้จะเสด็จมา คำสอนนี้ยังก่อให้เกิดความรู้สึกมั่นใจและปลอดภัยที่ไม่มีหลักยึดเหนี่ยวและนำคนมากมายให้ละเลยการเตรียมตัวให้พร้อมซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นในการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา {GC 321.2}GCth17 278.2

    มิลเลอร์ค้นพบว่าพระคริสต์จะเสด็จมาจริงและพระองค์จะเสด็จมาเองตามที่พระคัมภีร์สอนไว้ เปาโลกล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาจากสวรรค์ด้วยพระดำรัสสั่ง ด้วยเสียงเรียกของหัวหน้าทูตสวรรค์และด้วยเสียงแตรของพระเจ้า” 1 เธสะโลนิกา 4:16 และพระผู้ช่วยให้รอดทรงประกาศว่า “มนุษย์ทุกชาติทั่วโลก…….จะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาบนเมฆในท้องฟ้า ทรงฤทธานุภาพและพระรัศมีอย่างยิ่ง” “เพราะว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกส่องไปจนถึงทิศตะวันตกอย่างไร การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้น” มัทธิว 24:30, 27 พระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับชาวสวรรค์ทั้งปวง “บุตรมนุษย์เสด็จมาด้วยพระรัศมีพร้อมกับทูตสวรรค์ทั้งหมด” มัทธิว 25:31 “พระองค์จะทรงส่งทูตสวรรค์ทั้งหลายของพระองค์มาด้วยเสียงแตรที่ดังมากและให้รวบรวมคนทั้งหมดที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว” มัทธิว 24:31 {GC 321.3}GCth17 278.3

    เมื่อพระองค์เสด็จมา ผู้ชอบธรรมที่ตายแล้วจะเป็นขึ้นจากความตายและผู้ชอบธรรมที่ยังมีชีวิตอยู่จะถูกเปลี่ยนแปลงใหม่ เปาโลกล่าวว่า “เราจะไม่ล่วงหลับหมดทุกคน แต่จะถูกเปลี่ยนใหม่ทุกคน ในชั่วขณะเดียว ในพริบตาเดียว เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เพราะว่าจะมีการเป่าแตร และพวกที่ตายแล้วจะถูกทำให้เป็นขึ้นโดยปราศจากความเสื่อมสลาย แล้วเราจะถูกเปลี่ยนใหม่ เพราะว่าสิ่งที่เสื่อมสลายได้นี้ต้องสวมด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายไม่ได้ และสภาพที่ต้องตายนี้ต้องสวมด้วยสภาพที่ไม่ตาย” 1 โครินธ์ 15:51-53 และในจดหมายที่เขียนถึงชาวเธสะโลนิกา เปาโลกล่าวต่อไปหลังจากที่บรรยายถึงเรื่องการเสด็จมาขององค์พระเป็นเจ้าว่า “ทุกคนที่ตายแล้วในพระคริสต์จะเป็นขึ้นมาก่อน หลังจากนั้นพระเจ้าจะทรงรับพวกเราซึ่งยังมีชีวิตอยู่ขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น และจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหละ เราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์” 1 เธสะโลนิกา 4:16, 17 {GC 322.1}GCth17 279.1

    ประชากรของพระเจ้าจะยังคงไม่ได้รับแผ่นดินของพระเจ้าจนกว่าพระคริสต์จะเสด็จกลับมา พระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่า “เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาด้วยพระรัศมีพร้อมกับทูตสวรรค์ทั้งหมด แล้วพระองค์จะประทับบนพระที่นั่งอันรุ่งโรจน์ของพระองค์ ประชาชาติทั้งหมดจะมาประชุมกันเฉพาะพระพักตร์พระองค์และพระองค์จะทรงแยกพวกเขาออกจากกันเหมือนผู้เลี้ยงแกะแยกแกะออกจากแพะ พระองค์จะทรงจัดให้ฝูงแกะอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ และฝูงแพะอยู่เบื้องซ้าย ขณะนั้น พระมหากษัตริย์จะตรัสกับพวกผู้ที่อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ว่า ‘ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา จงมารับเอาราชอาณาจักรซึ่งเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลก’” มัทธิว 25:31-34 ข้อพระธรรมที่กล่าวมานี้ ทำให้มองเห็นว่า เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมา คนที่ตายไปแล้วจะเป็นขึ้นมาจากความตายปราศจากเน่าเปื่อย และคนที่ยังมีชีวิตอยู่จะถูกเปลี่ยนแปลงใหม่ ด้วยการเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่นี้ พวกเขาจึงพร้อมที่จะรับอาณาจักรของพระองค์ เพราะเปาโลกล่าวไว้ดังนี้ว่า “เนื้อและเลือดไม่มีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้า และสิ่งที่เสื่อมสลายไม่มีส่วนในสิ่งที่ไม่เสื่อมสลาย” 1 โครินธ์ 15:50 มนุษย์ในเวลานี้มีสภาพมตะ เสื่อมสลายได้ แต่แผ่นดินของพระเจ้านั้น ไม่เสื่อมสลาย จะยืนยงตลอดไป ดังนั้น มนุษย์ในสภาพที่เป็นอยู่นี้จะเข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้ แต่เมื่อพระเยซูเสด็จมา พระองค์จะประทานความเป็นอมตะให้แก่ประชากรของพระองค์ แล้วพระองค์จะทรงเชิญชวนให้พวกเขามารับราชอาณาจักรซึ่งก่อนหน้านี้พวกเขาเป็นแต่เพียงผู้รับมรดกเท่านั้น {GC 322.2}GCth17 279.2

    ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ รวมทั้งข้อพระคัมภีร์อื่นๆ พิสูจน์ให้สมองของมิลเลอร์เข้าใจอย่างชัดเจนว่าเหตุการณ์ที่คนทั่วไปคาดว่าจะเกิดขึ้นก่อนการเสด็จมาของพระคริสต์ เช่นการครอบครองอย่างสันติทั่วจักรวาลและการจัดตั้งอาณาจักรของพระเจ้าขึ้นบนโลก แท้ที่จริงแล้วจะเกิดขึ้นหลังการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์ นอกจากนี้ หมายสำคัญทั้งหมดของยุคและสภาพของโลกนั้นก็กำลังเป็นไปตามที่คำพยากรณ์เกี่ยวกับวาระสุดท้ายที่บรรยายไว้ จากการศึกษาพระคัมภีร์เพียงอย่างเดียว เขาจึงสรุปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า ช่วงเวลาที่ยังมีเหลือไว้ให้กับโลกนี้กำลังจะถึงจุดจบ {GC 323.1}GCth17 280.1

    เขากล่าวว่า “ยังมีหลักฐานอื่นที่ส่งผลอย่างจำเป็นในชีวิตต่อความคิดของข้าพเจ้า นั่นคือลำดับเหตุการณ์ในพระคัมภีร์…..ข้าพเจ้าค้นพบว่าเหตุการณ์ที่ถูกทำนายไว้ล่วงหน้า เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต และมักเกิดขึ้นตามเวลาที่กำหนดไว้ เวลาหนึ่งร้อยยี่สิบปีของเรื่องน้ำจะท่วมโลก (ปฐมกาล 6:3) เจ็ดวันก่อนน้ำเริ่มท่วม พร้อมกับฝนที่ตกลงมาสี่สิบวันตามที่ทำนายไว้ (ปฐมกาล 7:4) พงศ์พันธุ์ของอับราฮัมจะต้องรอนแรมไปเป็นเวลาสี่ร้อยปี (ปฐมกาล 15:13) เวลาสามวันที่พนักงานเชิญถ้วยเสวยและพนักงานขนมฝันเห็น (ปฐมกาล 40:12-20) เจ็ดปีของฟาโรห์ (ปฐมกาล 41:28-54) สี่สิบปีในป่ากันดาร (กันดารวิถี 14:34) การกันดารอาหารนานสามปีครึ่ง (1 พงษ์กษัตริย์ 17:1) [โปรดดู ลูกา 4:25].…..การเป็นเชลยนานเจ็ดสิบปี (เยเรมีย์ 25:11) เจ็ดวาระของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ (ดาเนียล 4:13-16) และเจ็ดสัปดาห์ หกสิบสองสัปดาห์ และหนึ่งสัปดาห์ ที่รวมกันแล้วเป็นเจ็ดสิบสัปดาห์แห่งปีกำหนดไว้สำหรับชนชาติยิว (ดาเนียล 9:24-27) -- เหตุการณ์ที่มีระยะเวลากำหนดไว้ซึ่งเคยเป็นแต่เพียงส่วนหนึ่งในคำพยากรณ์และได้เกิดขึ้นจริงตามคำทำนาย” Bliss หน้า 74, 75 {GC 323.2}GCth17 280.2

    ดังนั้น เมื่อเขาค้นพบจากการศึกษาพระคัมภีร์ว่าลำดับช่วงเวลาต่างๆ ตามที่เขาเข้าใจนั้นไปสิ้นสุดลงที่การเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์ เขาจึงไม่อาจปฏิเสธและถือว่า “ทรงกำหนดเวลา” กิจการ 17:26 ไว้ ซึ่งพระเจ้าทรงเปิดเผยให้แก่ผู้รับใช้ของพระองค์ โมเสสกล่าวว่า “สิ่งลี้ลับทั้งปวงเป็นของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราทั้งหลาย แต่สิ่งที่ทรงสำแดงนั้นเป็นของเราทั้งหลายและของลูกหลานของเราเป็นนิตย์” และพระเจ้าทรงเปิดเผยผ่านผู้เผยพระวจนะอาโมสว่า พระองค์จะ “ไม่ทรงทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยไม่เปิดเผยความลี้ลับให้แก่ผู้รับใช้ของพระองค์คือผู้เผยพระวจนะ” เฉลยธรรมบัญญัติ 29:29 อาโมส 3:7 ผู้ที่ศึกษาพระวจนะของพระเจ้าจึงมั่นใจเมื่อพบกับเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์มนุษยชาติตามที่แจกแจงไว้อย่างชัดเจนในพระคัมภีร์แห่งความจริง {GC 324.1}GCth17 281.1

    มิลเลอร์กล่าวต่อไปว่า “เมื่อข้าพเจ้ามั่นใจอย่างเต็มที่ว่า พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้าและเป็นประโยชน์ (2 ทิโมธี 3:16) และไม่ได้เกิดขึ้นมาจากความคิดของมนุษย์ แต่เขียนขึ้นโดยคนบริสุทธิ์ขณะที่ได้รับการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ (2 เปโตร 1:21) และเขียนบันทึกไว้เพื่อ ‘สั่งสอนเรา เพื่อเราจะได้มีความหวังโดยความทรหดอดทนและโดยการหนุนใจจากพระคัมภีร์’ โรม 15:4 ข้าพเจ้าจึงถือว่า ลำดับเวลาที่อยู่ในพระคัมภีร์ก็เป็นส่วนหนึ่งในพระวจนะของพระเจ้า และจะต้องให้ความสนใจอย่างจริงจังเช่นเดียวกับพระคัมภีร์ตอนอื่นๆ ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่พระเจ้าทรงมีพระเมตตาเห็นว่าเหมาะสมที่จะเปิดเผยให้เรารับรู้ ข้าพเจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะมองข้ามช่วงเวลาแห่งคำพยากรณ์เหล่านี้” Bliss หน้า 75 {GC 324.2}GCth17 281.2

    คำพยากรณ์ที่ดูว่าน่าจะชัดเจนที่สุดที่กล่าวถึงเรื่องเวลาของการเสด็จมาครั้งที่สองอยู่ในพระธรรมดาเนียล 8:14 “อยู่นานสองพันสามร้อยวัน แล้วสถานบริสุทธิ์นั้นจะได้รับการชำระ” ดาเนียล 8:14 TKJV มิลเลอร์ใช้หลักการว่าพระคัมภีร์จะอธิบายพระคัมภีร์เอง เขาค้นพบว่าหนึ่งวันในคำพยากรณ์เป็นเครื่องหมายแทนเวลาหนึ่งปีของโลก (กันดารวิถี 14:34; เอเสเคียล 4:6) เขายังเข้าใจว่าช่วงเวลา 2300 วันของคำพยากรณ์หรือปีตามที่เป็นจริงนั้นจะครอบคลุมเลยเวลาที่ให้ไว้แก่ชนชาติยิว ด้วยเหตุนี้ สถานบริสุทธิ์ [Sanctuary สถานบริสุทธิ์หรือสถานนมัสการเป็นคำเรียกพระวิหารหรือสถานที่สำหรับนมัสการพระเจ้าของชาวยิวในสมัยพระคัมภีร์พันธะสัญญาเดิม] จึงไม่ได้หมายถึงสถานนมัสการของชาวยิว มิลเลอร์เห็นด้วยกับแนวคิดที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลายของคริสเตียนในยุคนั้นว่า โลกนี้คือสถานนมัสการและด้วยเหตุนี้เขาจึงเข้าใจว่าการชำระสถานนมัสการที่พยากรณ์ไว้ในพระธรรมดาเนียล 8:14 หมายถึงการชำระโลกด้วยไฟเมื่อพระคริสต์เสด็จมาครั้งที่สอง เขาสรุปว่า เมื่อเขาหาเวลาเริ่มต้นของ 2300 วันได้ เขาก็จะรู้อย่างมั่นใจถึงเวลาแห่งการเสด็จมาครั้งที่สองได้ ดังนั้น ก็จะรู้วันสิ้นสุดของทุกสิ่งที่ยิ่งใหญ่นั้น ซึ่งเป็นวันที่สภาพทุกสิ่งในทุกวันนี้รวมทั้ง “ความหยิ่ง อำนาจ ความโอ้อวดและความอนิจจัง ความชั่วและการกดขี่จะยุติลง” เมื่อคำแช่งสาปจะถูก “กำจัดให้สิ้นไปจากโลก ความตายจะถูกทำลายไป บำเหน็จจะถูกมอบให้แก่บรรดาผู้รับใช้ของพระเจ้า ผู้เผยพระวจนะ ธรรมิกชนและทุกคนที่ยำเกรงพระนามของพระองค์ และคนเหล่านั้นที่ทำลายโลกจะถูกทำลายทิ้งไป” Bliss หน้า 76 {GC 324.3}GCth17 281.3

    มิลเลอร์ศึกษาคำพยากรณ์ต่อไปด้วยความตั้งใจใหม่และแน่วแน่ยิ่งขึ้น เขาอุทิศเวลาทั้งกลางวันและกลางคืนเพื่อศึกษาสิ่งที่มีความสำคัญยิ่ง และดึงดูดความสนใจของเขาไปทั้งหมด เขาไม่พบข้อมูลใดที่มีอยู่ในพระธรรมดาเนียลบทที่ 8 ที่จะใช้เป็นข้อมูลเพื่อชี้ถึงเวลาเริ่มต้นของ 2300 วัน แม้ทูตสวรรค์กาเบรียลที่ได้รับพระบัญชาให้ไปอธิบายดาเนียลเพื่อให้เข้าใจนิมิต ก็อธิบายได้เพียงบางส่วนเท่านั้น ในขณะที่เรื่องราวการกดขี่ข่มเหงอันน่ากลัวที่จะมายังคริสตจักรได้ถูกเปิดเผยออกให้แก่นิมิตของผู้เผยพระวจนะนั้น เขาก็หมดแรง ทนไม่ไหวอีกต่อไป ทูตสวรรค์จึงจากเขาไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง ดาเนียล “อ่อนเพลียและนอนป่วยอยู่หลายวัน” เขากล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่สบายใจเพราะนิมิตและไม่เข้าใจเรื่องราวเลย” ดาเนียล 8:27 {GC 325.1} GCth17 282.1

    ถึงกระนั้น พระเจ้าทรงบัญชาผู้สื่อข่าวของพระองค์ว่า “จงทำให้ชายผู้นี้เข้าใจนิมิตนั้นเถิด” พระบัญชานั้นจะต้องสำเร็จ ทูตสวรรค์ก็ทำตามพระบัญชา จึงกลับมาหาดาเนียลในภายหลัง และกล่าวว่า “ข้าพเจ้าออกมา ณ บัดนี้เพื่อจะให้ความกระจ่างและความเข้าใจแก่ท่าน” “เพราะฉะนั้นจงพิจารณาคำตอบและเข้าใจนิมิตนั้น” ดาเนียล 8:27, 16; 9:22, 23, 25-27 มีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งในนิมิตของบทที่ 8 ที่ยังไม่มีคำอธิบาย นั่นคือ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเวลา คือช่วงเวลา 2300 วัน ดังนั้นทูตสวรรค์ที่กลับมาอธิบายจึงเน้นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกาลเวลา {GC 325.2}GCth17 282.2

    “มี 70 สัปดาห์แห่งปีกำหนดไว้สำหรับชนชาติของท่านและนครบริสุทธิ์ของท่าน…..จงสังเกตและเข้าใจว่า นับตั้งแต่การที่ถ้อยคำนั้นออกไปให้สร้างกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่จนถึงสมัยประมุขผู้ถูกเจิมไว้ก็เป็นเวลา 7 สัปดาห์และเยรูซาเล็มถูกสร้างขึ้นพร้อมด้วยลานเมืองเป็นเวลา 62 สัปดาห์ แต่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลายากลำบาก หลังจาก 62 สัปดาห์แล้ว ท่านผู้ถูกเจิมจะต้องถูกตัดออกและจะไม่มีอะไรเหลือ….. ท่านจะทำพันธสัญญาอย่างมั่นคงกับคนเป็นอันมากอยู่หนึ่งสัปดาห์ ท่านจะทำให้การถวายสัตวบูชาและเครื่องบูชาอื่นๆ หยุดไปครึ่งสัปดาห์” ดาเนียล 9:24-27 {GC 326.1}GCth17 283.1

    ทูตสวรรค์ได้รับบัญชาให้ไปหาดาเนียลด้วยจุดประสงค์ที่เร่งด่วนเพื่ออธิบายนิมิตของบทที่ 8 ที่เขาไม่เข้าใจ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเวลาคือ “อยู่นานสองพันสามร้อยวัน แล้วสถานบริสุทธิ์นั้นจะได้รับการชำระ” ดาเนียล 8:14 TKJV หลังจากทูตสวรรค์พูดกับดาเนียลว่า “จงพิจารณาคำตอบและเข้าใจนิมิตนั้น” ทูตสวรรค์นั้นเริ่มต้นกล่าวด้วยประโยคที่ว่า “มี 70 สัปดาห์แห่งปีกำหนดไว้สำหรับชนชาติของท่านและนครบริสุทธิ์ของท่าน” คำว่า “กำหนดไว้” นั้นมีหมายความว่า “ตัดออกมา” ทูตสวรรค์เปิดเผยว่า 70 สัปดาห์ ซึ่งหมายถึง 490 ปี จะเป็นเวลาที่ถูกตัดออกมาให้กับชนชาวยิวโดยเฉพาะ แต่ช่วงเวลานี้จะถูกตัดออกจากที่ใด ในขณะที่ 2300 วันเป็นช่วงเวลาเดียวที่กล่าวถึงในบทที่ 8 ดังนั้นช่วงเวลานี้จึงต้องเป็นช่วงเวลาที่ 70 สัปดาห์ถูกตัดออกมา 70 สัปดาห์ จึงต้องเป็นส่วนหนึ่งของ 2300 วันและช่วงเวลาทั้งสองนี้จะต้องเริ่มต้นพร้อมกัน ทูตสวรรค์เปิดเผยว่า 70 สัปดาห์นี้จะเริ่มต้นตั้งแต่มีคำสั่งให้ไปบูรณะและสร้างกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ หากหาวันที่ออกคำสั่งนี้ได้ ก็จะหาจุดเริ่มต้นของช่วงเวลาอันสำคัญยิ่งของ 2300 วันได้อย่างแน่นอน {GC 326.2}GCth17 283.2

    คำสั่งนี้พบอยู่ในพระธรรมเอสราบทที่ 7 ข้อ 12-26 เป็นกฤษฎีกาที่สมบูรณ์ครบถ้วนที่สุดของกษัตริย์อารทาเซอร์ซีสกษัตริย์แห่งเปอร์เซียซึ่งได้ทรงบัญชาไว้ในปี ก.ค.ศ. 457 แต่พระธรรมเอสรา 6:14 บันทึกไว้ว่าพระนิเวศของพระเจ้าที่กรุงเยรูซาเล็มนั้นก่อสร้างขึ้น “ตามกฤษฎีกาของไซรัสและดาริอัสและอารทาเซอร์ซีสกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย” กษัตริย์ทั้งสามพระองค์นี้เป็นผู้ริเริ่ม สนับสนุน และทำให้กฤษฎีกานี้สำเร็จ ซึ่งทำให้คำพยากรณ์เกิดขึ้นอย่างเสร็จสมบูรณ์และเป็นจุดเริ่มต้นของ 2300 ปี เมื่อเอา ก.ค.ศ. 457 เป็นปีที่ประกาศคำสั่ง ทุกๆ สิ่งที่เจาะจงของคำพยากรณ์ซึ่งเกี่ยวข้องกับ 70 สัปดาห์จึงเกิดขึ้นจริง {GC 326.3}GCth17 283.3

    “นับตั้งแต่การที่ถ้อยคำนั้นออกไปให้สร้างกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่จนถึงสมัยประมุขผู้ถูกเจิมไว้ก็เป็นเวลา 7 สัปดาห์และ.....เวลา 62 สัปดาห์” นั่นคือเวลา 69 สัปดาห์หรือ 483 ปี กฤษฎีกาของกษัตริย์อารทาเซอร์ซีสมีผลบังคับใช้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปี ก.ค.ศ. 457 เมื่อนับตั้งแต่เวลานั้นไปอีก 483 ปี เวลานี้จะไปสิ้นสุดที่ ค.ศ. 27 (โปรดดูภาคผนวก) ในเวลานั้นเหตุการณ์ที่พยากรณ์ไว้ก็เกิดขึ้นจริง คำว่า “พระเมสสิยาห์” หมายถึง “ผู้ถูกเจิม” ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปี ค.ศ. 27 ยอห์นให้บัพติศมาแก่พระคริสต์และพระวิญญาณทรงเจิมพระองค์ อัครสาวกเปโตรเป็นพยานว่า “พระเจ้าทรงเจิมพระเยซูชาวนาซาเร็ธด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยฤทธานุภาพ” กิจการ 10:38 และพระผู้ช่วยให้รอดเองทรงเปิดเผยว่า “พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้” ลูกา 4:18 หลังจากพระคริสต์ทรงรับบัพติศมาแล้ว พระองค์เสด็จไปยังแคว้นกาลิลี “ทรงประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าโดยตรัสว่า ‘เวลากำหนดมาถึงแล้ว’” มาระโก 1:14, 15 {GC 327.1}GCth17 284.1

    “ท่านจะทำพันธสัญญาอย่างมั่นคงกับคนเป็นอันมากอยู่หนึ่งสัปดาห์” หนึ่งสัปดาห์ในที่นี้เป็นสัปดาห์สุดท้ายของ 70 สัปดาห์ เป็นเจ็ดปีสุดท้ายของช่วงเวลาที่ถูกตัดไว้ให้สำหรับชาวยิวโดยเฉพาะ ช่วงเวลานี้ครอบคลุมจาก ค.ศ. 27 จนถึง ค.ศ. 34 ในช่วงแรกพระคริสต์เองทรงเป็นผู้ยื่นคำเชื้อเชิญแห่งข่าวประเสริฐให้กับชนชาติยิวและในช่วงหลังสาวกของพระองค์เป็นผู้กระทำการต่อ ในขณะที่อัครสาวกดำเนินการประกาศข่าวดีเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอดตรัสบัญชาว่า “อย่าไปยังที่อยู่ของพวกต่างชาติและอย่าเข้าไปในเมืองของชาวสะมาเรีย แต่ว่าจงไปหาแกะหลงของวงศ์วานอิสราเอลนั้นดีกว่า” มัทธิว 10:5, 6 {GC 327.2}GCth17 284.2

    “ท่านจะทำให้การถวายสัตวบูชาและเครื่องบูชาอื่นๆ หยุดไปครึ่งสัปดาห์” ในปี ค.ศ. 31 หรือสามปีครึ่งหลังจากที่พระองค์ทรงรับบัพติศมา องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงถูกตรึงบนกางเขน ด้วยการถวายบูชาอันยิ่งใหญ่บนกางเขนคาลวารีนี้เอง ทำให้ระบบการถวายบูชาที่ชี้ไปยังพระเมษโปดกของพระเจ้าซึ่งทำกันมานานถึงสี่พันปีสิ้นสุดลง ลูกแกะที่แท้จริงมาแทนที่ลูกแกะที่เป็นแบบจำลองและที่นั่นก็ได้ทำให้การถวายสัตวบูชาต่างๆ และเครื่องบูชาอื่นๆ ของระบบพิธีการถวายสัตวบูชาทั้งหมดมาถึงจุดสิ้นสุด {GC 327.3}GCth17 284.3

    เจ็ดสิบสัปดาห์หรือ 490 ปี ที่จัดไว้ให้กับชาวยิวโดยเฉพาะได้สิ้นสุดลงตามที่กล่าวไว้ข้างต้นในปี ค.ศ. 34 ในช่วงเวลานั้น ชนชาติยิวผ่านทางการกระทำของสภาซันเฮดรินของชาวยิวประทับตราปฏิเสธไม่รับข่าวประเสริฐโดยการพลีชีพเพื่อความเชื่อของสเทเฟนและการกดขี่ข่มเหงผู้ติดตามพระคริสต์ ภายหลังจากนั้นพระกิตติคุณแห่งความรอดนี้จึงไม่ได้จำกัดไว้สำหรับผู้ที่เลือกสรรไว้แล้วเท่านั้นอีกต่อไป แต่ได้ถูกประทานให้กับโลก การกดขี่ข่มเหงบังคับให้สาวกทั้งหลายหนีออกไปจากกรุงเยรูซาเล็ม “กระจายไป ก็เที่ยวประกาศพระวจนะนั้น” “ฟิลิปไปยังเมืองหนึ่งในแคว้นสะมาเรียและประกาศเรื่องพระคริสต์ให้ชาวเมืองนั้นฟัง” ด้วยการทรงนำของพระเจ้า เปโตรประกาศพระกิตติคุณให้กับนายร้อยโครเนลิอัสผู้ยำเกรงพระเจ้าที่เมืองซีซารียาและเปาโลผู้มีจิตใจอันแรงกล้ากลับใจมามีความเชื่อในพระคริสต์รับบัญชาให้นำข่าวดีแห่งพระกิตติคุณ “ไปไกล ไปหาบรรดาคนต่างชาติ” กิจการ 8:4, 5; 22:21 {GC 328.1}GCth17 285.1

    เมื่อมาถึงจุดนี้ ก็จะเห็นว่า คำพยากรณ์เหล่านี้เกิดขึ้นจริงอย่างเหลือเชื่อ และปี ก.ค.ศ. 457 จึงเป็นจุดเริ่มต้นของ 70 สัปดาห์อย่างไม่ต้องสงสัย และไปสิ้นสุดที่ปี ค.ศ. 34 จากข้อมูลเหล่านี้จึงไม่ยากที่จะหาวันสิ้นสุด 2300 วัน 70 สัปดาห์ หรือ 490 ปี ที่ต้องลบออกไปจาก 2300 วัน ทำให้มีเวลาเหลืออยู่ 1810 วัน ภายหลังที่ 490 วันสิ้นสุดไปแล้ว ยังมี 1810 วันที่จะเกิดขึ้นตามคำพยากรณ์ นับจาก ค.ศ. 34 ไป 1810 วัน เวลานั้นจะไปสิ้นสุดลงที่ปี ค.ศ. 1844 ผลที่ตามมาก็คือ 2300 วันแห่งพระธรรมดาเนียลจะสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1844 ตามที่ทูตสวรรค์ของพระเจ้ากล่าวไว้ว่า เมื่อช่วงเวลาของคำพยากรณ์ที่ยิ่งใหญ่นี้สิ้นสุดลง “สถานบริสุทธิ์นั้นจะได้รับการชำระ” ดังนั้น เวลาสำหรับการชำระสถานนมัสการซึ่งเชื่อกันอย่างกว้างขวางทั่วไปว่าจะเกิดขึ้นเมื่อพระเยซูเสด็จกลับมาจึงเป็นวันที่ถูกกำหนดออกมาอย่างชัดเจน {GC 328.2}GCth17 285.2

    ในช่วงแรก มิลเลอร์และผู้ร่วมงานเชื่อว่าเวลา 2300 วันจะสิ้นสุดลงในช่วงฤดูใบไม้ผลิของ ค.ศ. 1844 แต่ทว่าคำพยากรณ์ได้ชี้ไปที่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปีนั้น (โปรดดูภาคผนวก) ความเข้าใจผิดในจุดนี้นำความผิดหวังและความงุนงงมาให้กับผู้ที่ยึดติดอยู่กับช่วงเวลาอันแรกว่าเป็นวันที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา แต่เหตุการณ์นี้ไม่กระทบต่อเหตุผลอันหนักแน่นซึ่งแสดงให้เห็นว่าระยะเวลา 2300 วันสิ้นสุดลงที่ปี ค.ศ. 1844 และเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่มีความหมายถึงการชำระสถานนมัสการจะต้องเกิดขึ้น {GC 328.3}GCth17 285.3

    มิลเลอร์ศึกษาพระคัมภีร์ต่อไปเหมือนกับที่เขาทำมาแล้วเพื่อพิสูจน์ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่พระเจ้าทรงเปิดเผยให้เขาทราบ ตั้งแต่มิลเลอร์เริ่มศึกษาเรื่องนี้ เขาไม่ได้คาดคิดแม้แต่เพียงนิดเดียวว่าจะได้ข้อสรุปดังที่เขาได้มาในเวลานี้ เขาเองก็แทบจะไม่เชื่อผลจากการค้นคว้าของเขา แต่หลักฐานจากพระคัมภีร์นั้นชัดเจนและหนักแน่นมากจนไม่อาจตัดออกไปได้ {GC 329.1}GCth17 286.1

    เขาใส่ใจศึกษาพระคัมภีร์นานถึงสองปี จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1818 เขาเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่ายังมีเวลาอีกเพียง 25 ปีก่อนที่พระคริสต์จะเสด็จมาเพื่อช่วยประชากรของพระองค์ให้รอด มิลเลอร์กล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องพูดถึงความสุขที่ท่วมท้นอยู่ในใจของข้าพเจ้าเมื่อข้าพเจ้ามองเห็นความหวังในภายภาคหน้าที่น่าปีติยินดีหรือไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงความหวังใจอันเร่าร้อนของจิตวิญญาณของข้าพเจ้าที่จะได้มีส่วนร่วมในความชื่นชมยินดีของผู้ที่ได้รับความรอด บัดนี้ พระคัมภีร์เป็นหนังสือเล่มใหม่สำหรับข้าพเจ้า แท้จริงแล้วพระคัมภีร์เป็นศูนย์รวมของเหตุผล คำสอนทุกเรื่องที่ข้าพเจ้าเคยมองดูมืดมน ลึกลับหรือไม่ชัดเจนหายไปจากความคิดของข้าพเจ้า ด้วยแสงสว่างสดใสที่มาจากหนังสือศักดิ์สิทธิ์และความจริงนั้น ช่างสว่างและเจิดจ้าเพียงไร ความขัดแย้งและความไม่แน่นอนที่ข้าพเจ้าเคยพบในพระวจนะก็หายไปจนหมด ถึงแม้จะมีอยู่อีกหลายตอนที่ข้าพเจ้ายังไม่พอใจกับความเข้าใจที่ยังไม่เต็มที่ แต่ข้าพเจ้าก็ได้รับความกระจ่างอย่างเพียงพอที่มาจากพระคัมภีร์เพื่อส่องเข้าไปในความคิดที่มืดมนของข้าพเจ้า จนทำให้ข้าพเจ้าเกิดความสุขในการศึกษาพระคัมภีร์ ซึ่งก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าไม่เคยคิดว่าข้าพเจ้าจะหาข้อสรุปเช่นนี้จากคำสอนในพระคัมภีร์ได้” Bliss หน้า 76, 77 {GC 329.2}GCth17 286.2

    “ด้วยความเชื่อมั่นอันแรงกล้าว่าเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่ถูกทำนายล่วงหน้าไว้ในพระคัมภีร์กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า เกิดมีคำถามกระทบกลับมายังข้าพเจ้าด้วยอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ถึงหน้าที่ของข้าพเจ้าที่มีต่อโลก ในหลักฐานที่มีผลกระทบต่อความคิดของข้าพเจ้า” Ibid. หน้า 81 เขาทำอย่างอื่นไม่ได้นอกจากจะรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องแบ่งปันแสงสว่างที่เขาได้รับให้แก่ผู้อื่น เขาคาดว่าจะต้องเผชิญกับการต่อต้านจากคนที่ไม่เชื่อ แต่เขาก็มั่นใจว่าคริสเตียนทุกคนคงจะชื่นชมยินดีในความหวังใจที่จะพบกับองค์พระผู้ช่วยให้รอดที่พวกเขาอ้างว่ารัก เขากลัวเพียงอย่างเดียวว่า ในท่ามกลางความชื่นชมยินดีอย่างสุดซึ้งของการได้รับความรอดในเวลาอันรวดเร็วนั้น คนจำนวนมากอาจจะรับหลักคำสอนโดยไม่ได้ศึกษาหลักความจริงที่มีอยู่ในพระคัมภีร์เสียก่อน เขาจึงลังเลไม่อยากประกาศออกไป โดยเกรงว่าเขาอาจจะผิดพลาด และนำผู้อื่นให้หลง ดังนั้น เขาจึงกลับไปทบทวนหลักฐานต่างๆ ที่สนับสนุนข้อสรุปของเขา และเพื่อพิจารณาอย่างรอบคอบถึงข้อยุ่งยากทุกข้อที่เข้ามาในความคิดของเขา เขาพบว่าความขัดแย้งต่างๆ ค่อยๆ เลือนหายไปภายใต้แสงสว่างจากพระวจนะของพระเจ้า ดั่งหมอกหายไปเมื่อได้รับลำแสงจากดวงอาทิตย์ เขาใช้เวลาศึกษาเช่นนี้ถึงห้าปี จนเขามั่นใจจุดยืนของเขาว่าถูกต้องที่สุด {GC 329.3}GCth17 286.3

    บัดนี้ หน้าที่ที่จะต้องเปิดเผยให้ผู้อื่นทราบถึงสิ่งที่เขาเชื่อซึ่งพระคัมภีร์สอนไว้อย่างชัดเจนบีบคั้นเขาด้วยแรงกระตุ้นใหม่ เขาพูดว่า “ในขณะที่ข้าพเจ้าทำงานอยู่นั้น เรื่องนี้ดังก้องอยู่ในหูของข้าพเจ้าตลอดเวลา ‘ไป จงไปบอกโลกถึงภัยอันตรายของเขา’ ข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ปรากฏขึ้นมาในความคิดของข้าพเจ้าอยู่ตลอดเวลา “ถ้าเรากล่าวแก่คนอธรรมว่า ‘โอ คนอธรรม เจ้าจะต้องตายแน่’ แต่เจ้าไม่ได้กล่าวเตือนคนอธรรมให้กลับจากทางของเขา คนอธรรมนั้นจะต้องตายเนื่องจากความผิดบาปชั่วของเขา แต่เราจะลงโทษเจ้าเรื่องโลหิตของเขา แต่ถ้าเจ้าได้เตือนคนอธรรมให้หันกลับจากทางของเขา แต่เขาไม่หันกลับจากทางของเขา เขาจะต้องตายเนื่องจากความผิดบาปของเขา แต่เจ้าจะช่วยชีวิตของเจ้าเองให้รอด” เอเสเคียล 33:8, 9 ข้าพเจ้ารู้สึกว่า หากคนชั่วได้รับคำเตือนมากพอ จะมีคนจำนวนมากมายจากคนเหล่านี้ที่จะกลับใจ และหากพวกเขาไม่ได้รับคำเตือน ข้าพเจ้าอาจต้องรับผิดชอบต่อโลหิตของพวกเขา” Bliss หน้า 92 {GC 330.1}GCth17 287.1

    เขาเริ่มเสนอแนวคิดของตนขณะอยู่กับเพื่อนฝูงเป็นการส่วนตัวเท่าที่โอกาสจะเอื้ออำนวย เขาอธิษฐานขอเผื่อมีผู้รับใช้คนใดตระหนักถึงความสำคัญและร่วมทุ่มเทกับการเผยแพร่เรื่องนี้ แต่เขาไม่อาจกำจัดความคิดว่าการประกาศคำเตือนนี้เป็นหน้าที่ของตัวเขาเอง “จงออกไป บอกเรื่องนี้ให้โลกรู้ เราจะทวงถามเลือดของพวกเขาจากมือของเจ้า” ประโยคนี้ย้อนกลับเข้ามาในความคิดของเขาอยู่เรื่อยๆ เขารีรออยู่นานถึง 9 ปี ภาระนี้ยังคงบีบคั้นจิตใจของเขา ตราบจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1813 เขาจึงเริ่มนำเสนอที่มาของความเชื่อของเขาต่อหน้าสาธารณชนเป็นครั้งแรก {GC 330.2}GCth17 287.2

    ดั่งเช่นเอลีชาถูกเรียกออกมาจากการเดินตามหลังโคในทุ่งนาเพื่อรับเสื้อคลุมของการถวายตัวในหน้าที่ของผู้เผยพระวจนะ มิลเลอร์ก็ได้รับการทรงเรียกให้ทิ้งคันไถ และเปิดเผยความลึกลับในอาณาจักรของพระเจ้าให้แก่ประชาชน เขารับหน้าที่ด้วยความหวั่นไหว เขานำผู้ฟังไปทีละขั้น ทีละตอน จากช่วงเวลาแห่งคำพยากรณ์ไปจนถึงการปรากฏตัวครั้งที่สองของพระคริสต์ ทุกครั้งที่เขาประกาศ เขาได้รับกำลังและมีความกล้ามากยิ่งขึ้นเมื่อเขามองเห็นว่าคำพูดของเขากระตุ้นความสนใจอย่างกว้างขวาง {GC 331.1}GCth17 288.1

    มิลเลอร์จะยอมนำเสนอแนวคิดของเขาต่อที่ชุมชนก็ต่อเมื่อได้รับการร้องขอจากบรรดาพี่น้องของเขา ซึ่งเขาถือว่าคำขอร้องเหล่านั้นเป็นการทรงเรียกจากพระเจ้า ในเวลานี้เขาอายุ 50 ปีแล้ว เขาไม่คุ้นเคยกับการพูดในที่สาธารณะ และรู้สึกทุกข์ใจกับความรู้สึกว่าเขาไม่คู่ควรกับงานที่อยู่เบื้องหน้าเขา แต่เมื่อเขาเริ่มต้นทำงาน งานของเขาได้รับพระพรในลักษณะพิเศษที่ช่วยจิตวิญญาณทั้งหลายให้รอด การบรรยายครั้งแรกของเขาก่อให้เกิดการตื่นตัวทางศาสนา สมาชิกทั้งหมดจากสิบสามครอบครัวยกเว้นเพียงสองคนกลับใจ เขาได้รับการขอร้องให้ไปพูดที่อื่นทันที และเกือบทุกแห่งที่เขาไปทำงานเกิดการฟื้นฟูในพระราชกิจของพระเจ้า คนบาปกลับใจ คนที่เป็นคริสเตียนได้รับการหนุนใจให้มอบถวายตัวมากยิ่งขึ้น และคนที่นับถือเทวูเบกขานิยมและคนไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าก็ได้รับทราบความจริงในพระคัมภีร์และศาสนาของคริสเตียน คำพยานของผู้ที่เขาทำงานด้วยนั้นพูดถึงเขาว่า “เขาเข้าถึงความนึกคิดของคนระดับหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงอิทธิพลของคนอื่น” Ibid. หน้า 138 คำเทศนาของเขาถูกจัดวางไว้เพื่อให้ปลุกความนึกคิดของสาธารณชนให้รับรู้เรื่องยิ่งใหญ่ทางศาสนา และเพื่อหยุดยั้งการก้าวหน้าของฝ่ายโลกและฝ่ายเนื้อหนังของคนในยุคนั้น {GC 331.2}GCth17 288.2

    ในแทบทุกเมืองมีคนนับสิบ บางแห่งก็นับร้อยที่กลับใจจากผลของการเทศนาของเขา ในที่หลายแห่ง คริสตจักรโปรเตสแตนต์ต่างๆ เกือบทุกนิกายเปิดประตูต้อนรับเขา และคำเชิญให้เขาไปทำงานก็มักมาจากผู้รับใช้ของโบสต์ต่างๆ เขามีกฎที่ยึดไว้อย่างไม่แปรเปลี่ยนก็คือเขาจะไม่ไปทำงานในที่ที่เขาไม่ได้รับเชิญ แต่กระนั้น ในไม่ช้า เขาก็พบว่าเขาตอบสนองคำเชิญที่เข้ามานั้นไม่ได้กว่าครึ่ง มีคนมากมายที่ไม่ยอมรับแนวคิดของเขาเรื่องเวลาที่แน่นอนของการเสด็จมาครั้งที่สอง แต่ก็ยอมรับเรื่องของการเสด็จกลับมาของพระคริสต์และเวลาที่เสด็จกลับมานั้นอยู่ใกล้มากและจำเป็นต้องเตรียมตัวให้พร้อม ในเมืองใหญ่หลายเมือง ผลการทำงานของเขาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด พ่อค้าสุราเลิกขายเหล้าและปรับเปลี่ยนร้านค้าให้เป็นห้องประชุม บ่อนการพนันต้องปิดตัวลง คนไม่เชื่อพระเจ้า กลุ่มเทวูเบกขานิยม กลุ่มคนที่นับถือทุกอย่าง และแม้กระทั่งคนเสเพลที่สุดก็ยังปฏิรูป มีบางคนเหล่านี้ไม่ได้ไปโบสถ์มาหลายปีแล้ว มีการจัดประชุมอธิษฐานในคริสตจักรนิกายต่างๆ ในห้องพักต่างๆ มีนักธุรกิจมาชุมนุมกันในช่วงกลางวันเพื่ออธิษฐานและสรรเสริญพระเจ้าตลอดเกือบทุกชั่วโมง ไม่มีเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้น แต่โดยทั่วไปแล้ว มีแต่ความเคร่งขรึมในความนึกคิดของทุกคน ผลงานของเขามีลักษณะคล้ายคลึงกับการปฏิรูปศาสนาในยุคก่อน คือมุ่งหมายให้เข้าใจและปลุกความสำนึกให้ตื่นขึ้นมามากกว่าที่จะปลุกความตื่นเต้นทางอารมณ์ {GC 331.3}GCth17 288.3

    ในปี ค.ศ. 1833 มิลเลอร์ได้รับใบอนุญาตให้เทศนาจากคริสตจักรแบ็บติสต์ที่เขาเป็นสมาชิกอยู่ ศาสนาจารย์มากมายในนิกายนี้ยอมรับการทำงานของเขา และภายใต้ใบอนุญาตที่มิลเลอร์ได้รับอย่างเป็นทางการ จึงทำให้เขาทำงานของเขาต่อไป เขาเดินทางและเทศนาสั่งสอนอย่างไม่มีวันหยุด แม้ว่าตัวเขาเองจะทำงานจำกัดอยู่ในแถบบริเวณนิวอิงแลนด์และมลรัฐในแถบกลางก็ตามที เป็นเวลาหลายปีที่ค่าใช้จ่ายของเขามาจากกระเป๋าของเขาเองและเขาไม่เคยได้รับเงินเพียงพอกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ที่เขาได้รับเชิญ ด้วยประการฉะนี้ เขาไม่ได้รับประโยชน์ทางด้านการเงินจากงานที่เขาทำในชุมชนเลย แต่กลับมีผลอย่างหนักต่อทรัพย์สินของเขาซึ่งค่อยๆ ลดลงไปอย่างต่อเนื่อง ในช่วงเวลานี้ เขาเป็นพ่อในครอบครัวใหญ่ แต่พวกเขาเป็นคนประหยัดและขยันขันแข็ง ฟาร์มของเขาจึงสามารถคงอยู่ได้ เช่นเดียวกับตัวเขาเองก็ยังอยู่รอด {GC 332.1}GCth17 289.1

    ในปี ค.ศ. 1833 สองปีหลังจากที่มิลเลอร์เริ่มเทศนาในที่สาธารณะ หลักฐานสุดท้ายที่เป็นเครื่องหมายแสดงว่าพระคริสต์จะเสด็จกลับมาในไม่ช้าตามที่พระผู้ช่วยให้รอดสัญญาไว้ก็เกิดขึ้น พระเยซูตรัสว่า “ดวงดาวทั้งหลายจะตกจากฟ้าสวรรค์” มัทธิว 24:29 และขณะที่ยอห์นเห็นในนิมิต เป็นภาพที่ประกาศวันของพระเจ้า ท่านประกาศไว้ในพระธรรมวิวรณ์ว่า “และดวงดาวทั้งหลายในท้องฟ้าก็ตกลงมาบนแผ่นดิน เหมือนกับต้นมะเดื่อที่ถูกลมแรงพัดจนผลที่ยังไม่สุกหล่นลงมา” วิวรณ์ 6:13 คำพยากรณ์นี้เกิดขึ้นจริงอย่างน่าประทับใจและสะดุดตาในเหตุการณ์ฝนดาวตกของวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1833 นั่นเป็นภาพฝนดาวตกที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางและน่าประหลาดใจอย่างที่ไม่เคยมีการบันทึกมาก่อนว่า “ทั่วท้องฟ้าของประเทศสหรัฐอเมริกาในขณะนั้นลุกเป็นไฟอย่างน่าตกใจกลัว ไม่เคยมีปรากฏการณ์ใดเกิดขึ้นในท้องฟ้าของประเทศนี้ ตั้งแต่มีการอพยพมาตั้งถิ่นฐานที่นี่ โดยคนในสังคมส่วนหนึ่งมองดูเหตุการณ์นี้ด้วยความชื่นชมยิ่ง แต่คนอีกกลุ่มหนึ่งมองดูด้วยความกลัวและความตื่นตระหนก” “ความงดงามอันเลอเลิศและน่ากลัวยังคงประทับอยู่ในความทรงจำของคนมากมาย….ไม่เคยมีฝนตกแรงเท่ากับฝนดาวตกที่ตกลงมายังโลก ซึ่งเหมือนกันในทุกทิศ ทั้งทิศตะวันออก ตก เหนือและใต้ กล่าวได้คำเดียวว่า ดูเหมือนว่ามีการเคลื่อนไหวทั่วทั้งท้องฟ้า…..ศาสตราจารย์ซิลลีแมน [Silliman] บรรยายไว้ในวารสารว่าเป็นภาพที่ปรากฏทั่วทั้งท้องฟ้าในทวีปอเมริกาเหนือ…..ตั้งแต่ตีสองจนถึงแสงตะวันขึ้นอย่างเต็มที่ ท้องฟ้าแจ่มใสและไม่มีเมฆ ความสว่างสุกใสที่ไม่หยุดหย่อนยังคงส่องแสงประกายตลอดทั่วทั้งท้องฟ้า” R. M. Devens, American Progress; or, The Great Events of the Greatest Century บทที่ 28 ย่อหน้าที่ 1-5 {GC 333.1}GCth17 289.2

    “แน่นอน ไม่มีคำพูดใดที่จะบรรยายความยิ่งใหญ่ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น……ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์จะจินตนาความงดงามของสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ ดูประหนึ่งว่าดวงดาวทั้งหมดของทั่วทั้งท้องฟ้ามาชุมนุมกันที่จุดหนึ่งใกล้กลางฟ้านภาและยิงออกมาพร้อมๆ กัน ด้วยความเร็วของสายฟ้าแลบ ไปยังขอบฟ้าทุกด้าน แต่ดาวเหล่านั้นก็ไม่หมด ดวงดาวนับพันๆ ดวงพุ่งออกมาตามทางของดวงดาวนับพันๆ ดวง ดูประหนึ่งว่าดาวเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการณ์นี้โดยเฉพาะ” F. Reed, in the Christian Advocate and Journal, 13 ธันวาคม 1833 “ผลมะเดื่อที่ร่วงหล่นลงมาจากต้นมะเดื่อเมื่อถูกลมแรงพัดจึงน่าจะเป็นคำบรรยายภาพที่ถูกต้องกว่า เป็นภาพที่ไม่อาจมองดูได้ “The Old Countryman,” ใน Portland Evening Advertiser, 26 พฤศจิกายน 1833 {GC 333.2}GCth17 289.3

    ในวารสารพาณิชย์ของรัฐนิวยอร์คฉบับวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1833 ตีพิมพ์บทความที่ยาวบทหนึ่งกล่าวถึงเหตุการณ์อัศจรรย์ที่เกิดขึ้นว่า “ข้าพเจ้าคิดว่า คงไม่มีนักปรัชญาหรือนักการศึกษาใดเคยเล่าถึงหรือบันทึกเหตุการณ์เช่นที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าวานนี้ ผู้เผยพระวจนะทำนายไว้อย่างแม่นยำเมื่อหนึ่งพันแปดร้อยปีที่แล้ว หากเรามีปัญหาทำความเข้าใจคำว่าดาวตกหมายถึงดาวที่ตกลงมา…..ในแง่หนึ่งที่ว่ามันเป็นไปได้ที่เป็นเช่นนั้นจริง” {GC 334.1}GCth17 290.1

    นั่นคือเหตุการณ์ที่เป็นหมายสำคัญสุดท้ายของการเสด็จกลับมาของพระองค์ ซึ่งพระเยซูทรงเตือนสาวกทั้งหลายของพระองค์ว่า “เมื่อท่านทั้งหลายเห็นสิ่งทั้งหมดนี้แล้วก็ให้รู้ว่าพระองค์เสด็จมาใกล้จะถึงประตูแล้ว” มัทธิว 24:33 ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้ ยอห์นเห็นเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นตามมา ท้องฟ้าเปิดออกเหมือนดั่งหนังสือที่ม้วน แผ่นดินไหว ภูเขาและเกาะต่างๆ เคลื่อนตัวไปจากที่ของมัน และคนชั่วตกอยู่ในความกลัว พยายามหาที่หลบไปให้พ้นจากพระพักตร์ของบุตรมนุษย์ วิวรณ์ 6:12-17 {GC 334.2}GCth17 290.2

    คนมากมายที่เห็นดวงดาวตกลงมานั้น มองดูเหตุการณ์นี้ว่าเป็นการประกาศถึงการพิพากษาที่กำลังจะมาถึง “ เป็นเหตุการณ์ที่น่ากลัว เป็นเหตุการณ์ที่นำหน้า เป็นสัญลักษณ์แห่งความเมตตาของวันยิ่งใหญ่และน่ากลัวนั้น” “The Old Countryman,” in Portland Evening Advertiser, 26 พฤศจิกายน 1833 ด้วยเหตุนี้ ประชาชนจึงต่างหันเหความสนใจไปยังคำพยากรณ์ที่จะเกิดขึ้น และทำให้คนมากมายสนใจคำเตือนเรื่องการเสด็จมาครั้งที่สอง {GC 334.3}GCth17 290.3

    ในปี ค.ศ. 1840 มีเหตุการณ์สำคัญอีกเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นตามที่พยากรณ์ไว้ ซึ่งสร้างความสนใจอย่างยิ่งใหญ่ให้กับคนจำนวนมาก สองปีก่อนหน้านี้ โยซียาห์ ลิท์ช [Josiah Litch] ผู้รับใช้แนวหน้าคนหนึ่งที่ประกาศเรื่องการเสด็จกลับมาของพระเยซู ตีพิมพ์บทความเรื่องของพระธรรมวิวรณ์บทที่ 9 ซึ่งทำนายถึงการล่มสลายของอาณาจักรโอโตแมน [Ottoman Empire] ตามที่เขาคำนวณไว้นั้น อำนาจของอาณาจักรนี้จะถูกสลายลงใน “ช่วงราวเดือนสิงหาคมของปี ค.ศ. 1840” และเพียงไม่กี่วันก่อนหน้าที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น เขาเขียนว่า “ถ้าจะให้ช่วงเวลาแรกคือ 150 ปีเกิดขึ้นก่อนที่เดียโคเซส [Deacozes] ขึ้นครองราชย์ตามความยินยอมของชาวเติร์ก และเมื่อช่วงเวลาแรกสิ้นสุดลง ช่วงเวลา 391 ปี กับอีก15 วันต่อมาก็จะเริ่มขึ้น ซึ่งช่วงเวลาที่สองนี้จะสิ้นสุดลงในวันที่ 16 สิงหาคม ค.ศ. 1840 คือเมื่อคาดการณ์ว่าอำนาจของโอโตแมนในเมืองคอนสเตนติโนเปิลจะสูญสิ้นลง และข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นตามนี้” Josiah Litch, in Signs of the Times, and Expositor of Prophecy, 1 สิงหาคม 1840 {GC 334.4}GCth17 290.4

    ตรงตามเวลาที่กำหนด ประเทศตุรกีโดยทางเอกอัครราชทูตได้ขอการคุ้มครองจากอำนาจพันธมิตรของทวีปยุโรปและด้วยการกระทำนี้ได้นำตนเองให้ไปอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศคริสเตียน เหตุการณ์เกิดขึ้นตรงตามที่พยากรณ์ไว้ (โปรดดูภาคผนวก) เมื่อเรื่องนี้เป็นที่ประจักษ์แล้ว ผู้คนจึงมั่นใจว่าหลักการที่มิลเลอร์และเพื่อนๆ ใช้แปลความหมายของคำพยากรณ์เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ทำให้การเคลื่อนไหวของเรื่องการเสด็จกลับมานั้นมีน้ำหนัก คนมีความรู้และมีตำแหน่งเข้าร่วมงานกับมิลเลอร์ในงานการประกาศและในงานตีพิมพ์เผยแพร่แนวคิดของเขา และตั้งแต่ปี ค.ศ. 1840 จนถึง 1844 งานนี้จึงแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว {GC 335.1}GCth17 291.1

    วิลเลียม มิลเลอร์เป็นคนที่มีกำลังทางความคิดที่เข้มแข็ง เขามีระเบียบทั้งทางแนวคิดและการศึกษา และเขาเพิ่มพูนสิ่งเหล่านี้ด้วยสติปัญญาแห่งสวรรค์โดยเชื่อมโยงตัวเองกับพระเจ้าผู้ทรงเป็นแหล่งของปัญญาทั้งหลาย เขาเป็นชายที่มีคุณค่า ไม่ว่าที่ใดที่ผู้คนให้ความสำคัญกับอุปนิสัยที่ซื่อสัตย์และศีลธรรมที่เป็นเลิศ เขาก็จะได้รับความเคารพและความนับถือ มิลเลอร์เป็นคนมีจิตใจที่เต็มไปด้วยความเมตตาอย่างแท้จริง รวมกันกับความถ่อมตนตามแบบฉบับของคริสเตียนและอำนาจในการควบคุมตนเอง เขาเอาใจใส่และสุภาพอ่อนโยนต่อทุกคน พร้อมที่จะฟังข้อคิดเห็นของผู้อื่นและชั่งข้อโต้แย้งของพวกเขา เขาใช้พระคำของพระเจ้าทดสอบทฤษฎีและหลักคำสอนทั้งหมดโดยปราศจากอคติและไม่ใช้อารมณ์ และความมีเหตุมีผลของเขาและความรอบรู้ในพระคัมภีร์ ทำให้เขาโต้แย้งความผิดและเปิดโปงความเท็จได้ GC 335.2}GCth17 291.2

    แต่ถึงกระนั้น งานที่เขาทำก็ไม่ได้ทำโดยไม่มีการต่อต้านที่รุนแรง เหมือนเช่นนักปฏิรูปในอดีต ครูสอนศาสนาในคริสตจักรที่โด่งดังไม่ยอมรับมุมมองที่เขาเสนอ เพราะว่า พวกเขาไม่สามารถพิสูจน์จุดยืนของตนด้วยข้อพระคัมภีร์ พวกเขาจึงใช้คำพูดและคำสอนของมนุษย์ รวมทั้งวิธีปฏิบัติที่คนในอดีตส่งต่อกันมา แต่พระวจนะของพระเจ้าเป็นคำพยานเดียวที่นักเทศน์แห่งความจริงเรื่องการเสด็จกลับมายอมรับ “พระคัมภีร์และพระคัมภีร์เท่านั้น” เป็นคำขวัญของพวกเขา เมื่อคนที่ต่อต้านไม่สามารถหาข้อโต้แย้งจากพระคัมภีร์ พวกเขาก็ใช้วิธีการหัวเราะเยาะและการเย้ยหยัน พวกเขาใช้เวลา เงินทองและความสามารถทำลายคนที่ความผิดเดียวของเขาคือการรอคอยการเสด็จมาของพระเจ้าด้วยความสุขและพยายามดำเนินชีวิตให้บริสุทธิ์และกระตุ้นผู้อื่นให้เตรียมตัวเพื่อรับการเสด็จมาปรากฏของพระองค์ {GC 335.3}GCth17 291.3

    คนเหล่านี้ใช้ความพยายามอย่างตั้งใจเพื่อหันเหความคิดของคนทั้งหลายให้ออกไปจากเรื่องของการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซู พวกเขาทำให้การศึกษาคำพยากรณ์เรื่องการเสด็จมาของพระคริสต์และยุคสุดปลายของโลกเป็นบาปที่น่าอับอาย ด้วยการใช้วิธีนี้ ครูสอนศาสนาที่โด่งดังเหล่านี้บ่อนทำลายความเชื่อที่มีต่อพระวจนะของพระเจ้า คำสอนของพวกเขาจึงทำให้คนไม่เชื่อพระเจ้า และคนมากมายถือสิทธิที่จะทำตามหัวใจชั่วของตนเอง แล้วจ้าวแห่งความชั่วร้ายก็โยนความผิดทั้งหมดไปยังชาวแอ๊ดเวนตีส [Adventists — คือกลุ่มคนที่รอคอยการเสด็จกลับมาของพระคริสต์] {GC 336.1}GCth17 292.1

    ในขณะที่มิลเลอร์ดึงดูดฝูงชนที่เฉลียวฉลาดและตั้งใจมาฟังเขาจนแน่นบ้าน แต่ชื่อของเขาไม่ค่อยถูกเอ่ยถึงจากสำนักพิมพ์ทางศาสนา เว้นแต่จะถูกนำมาเย้ยหยันหรือตำหนิ ครูสอนศาสนาที่ไม่ใส่ใจและไม่เกรงกลัวพระเจ้าต่างใช้อำนาจที่ได้มาจากตำแหน่งหน้าที่ประณามเขาอย่างน่าเกลียด ใช้คำพูดเฉียบคมที่ต่ำช้าและลบหลู่เพื่อทับถมมิลเลอร์และงานที่เขาทำ ชายผมหงอกที่ทิ้งความสุขสบายในบ้านเพื่อเดินทางจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่งด้วยค่าใช้จ่ายของตนเอง ทำงานอย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อประกาศให้กับชาวโลกทราบคำเตือนที่น่าสะพรึงกลัวเรื่องการพิพากษาที่กำลังใกล้เข้ามา แต่ถูกประณามอย่างเย้ยหยันว่าเป็นคนคลั่งศาสนา เป็นคนหลอกลวงและเป็นคนโกงฉวยโอกาส {GC 336.2}GCth17 292.2

    คำเยาะเย้ย ความเท็จ และคำใส่ร้ายที่ทับถมลงบนตัวเขาทำให้เกิดเสียงทัดทานที่ไม่พอใจ แม้กระทั่งจากสำนักพิมพ์ของชาวโลก คนพวกนี้กล่าวว่า “การมองดูเรื่องที่มีความยิ่งใหญ่อย่างเหลือเชื่อและมีผลที่น่ากลัวเช่นนี้” อย่างไม่ใส่ใจและปราศจากความยำเกรง “มิเพียงแต่ล้อเล่นกับความรู้สึกของคนที่เผยแพร่และผู้สนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น” แต่ “นำเอาวันพิพากษามาล้อเล่น เยาะเย้ยองค์พระผู้เป็นเจ้า และสบประมาทความน่ากลัวของการพิพากษาของพระองค์” Bliss หน้า 183 {GC 336.3}GCth17 292.3

    ผู้อยู่เบื้องหลังความชั่วทั้งปวงไม่เพียงแต่จะเสาะหาวิธีต่อต้านผลที่เกิดขึ้นจากการประกาศข่าวการเสด็จกลับมาเท่านั้น แต่มันต้องการทำลายคนที่ประกาศเรื่องนี้ด้วย มิลเลอร์นำความจริงในพระคัมภีร์ไปประยุกต์เพื่อให้เข้าสู่หัวใจของผู้ฟัง เขาตำหนิบาป และรบกวนความรู้สึกว่าตนเองดีพอของผู้ฟัง คำพูดอันเรียบง่ายและเชือดเฉือนของเขาจึงสร้างศัตรูขึ้นมา สมาชิกในโบสถ์ที่ต่อต้านข่าวสารของเขาให้อำนาจกับกลุ่มคนชั้นต่ำ และศัตรูทั้งหลายก็วางแผนหมายเอาชีวิตของเขาเมื่อเขาเดินออกจากห้องประชุม แต่ทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าก็อยู่กลางฝูงชนนั้น และทูตองค์หนึ่งในสภาพของมนุษย์จูงแขนของผู้รับใช้ของพระเจ้าและนำเขาฝ่าฝูงชนที่เดือดดาลออกไปยังที่ปลอดภัย งานที่เขาทำนั้นยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และซาตานพร้อมกับตัวแทนของมันก็ต้องพบกับความผิดหวังในแผนการของมัน {GC 336.4}GCth17 292.4

    ถึงแม้ว่า มิลเลอร์จะได้รับการต่อต้านมากมาย แต่กลับมีคนให้ความสนใจกับเรื่องการเสด็จกลับมาของพระคริสต์เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีคนเพิ่มขึ้นจากสิบจนเป็นร้อย จนมีคนมาชุมนุมเพิ่มมากขึ้นเป็นหลายพันคน ในโบสถ์ต่างๆ มีคนกลับใจเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อเวลาล่วงเลยไประยะหนึ่ง ความรู้สึกต่อต้านก็เริ่มเกิดกับคนที่กลับใจใหม่ด้วย และโบสถ์ต่างๆ จึงเริ่มจัดระเบียบกับคนที่ยอมรับแนวความคิดของมิลเลอร์ มาตรการนี้ส่งผลให้มีคนเขียนตอบเป็นจดหมายที่ส่งไปยังคริสเตียนทุกนิกายเรียกร้องว่าหากหลักคำสอนที่เขาเชื่อไม่ถูกต้องให้ใช้พระคัมภีร์ชี้ความผิดนั้นออกมา {GC 337.1}GCth17 293.1

    เขากล่าวว่า “มีอะไรบ้างที่เราเชื่อซึ่งเราไม่ได้รับบัญชาจากพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งท่านเองยอมให้เป็นกฎและเป็นกฎเดียวของความเชื่อและวิถีทางปฏิบัติของเรา เราทำอะไรลงไป จนท่านต้องประณามพวกเราอย่างรุนแรงทั้งจากธรรมาสน์และจากสิ่งตีพิมพ์ และใครให้อำนาจที่ชอบธรรมกับท่านเพื่อกีดกันเรา [ชาวแอ๊ดเวนตีส] ให้ออกจากคริสตจักรของท่านและการร่วมสามัคคีธรรมกับท่าน” “หากเราเป็นฝ่ายผิด ช่วยบอกเราด้วยว่าเราผิดที่ตรงส่วนไหน ให้ใช้พระคัมภีร์แสดงให้เราเห็นว่าเราผิด เราได้รับการเยาะเย้ยเพียงพอแล้ว แต่การเยาะเย้ยก็ไม่อาจทำให้เรายอมรับว่าเราผิด พระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่จะเปลี่ยนแปลงแนวคิดของเรา ข้อสรุปของเราได้มาด้วยความรอบคอบและด้วยการอธิษฐาน ซึ่งเป็นหลักฐานต่างๆ ที่เราได้รับจากพระคัมภีร์” Ibid. หน้า 250, 252 {GC 337.2}GCth17 293.2

    จากยุคหนึ่งไปอีกยุคหนึ่ง คำเตือนที่พระเจ้าประทานให้โลกผ่านทางผู้รับใช้ของพระองค์ได้รับการตอบสนองอย่างไม่เลื่อมใสและด้วยความไม่เชื่อในลักษณะที่คล้ายๆ กัน เมื่อบาปของคนยุคก่อนน้ำท่วมโลกกระตุ้นให้พระองค์ส่งน้ำมาท่วมโลก แต่พระองค์ยังทรงให้พวกเขารับรู้พระประสงค์ของพระองค์ก่อน เพื่อให้โอกาสพวกเขาหันหลังกลับจากทางบาปชั่วของตน เป็นเวลา 120 ปีที่คำเตือนให้กลับใจดังก้องอยู่ในหูของคนเหล่านั้น เกลือกว่าพระพิโรธของพระเจ้าจะมาทำลายพวกเขา แต่ข่าวสารนั้นก็ถูกมองดูว่าเป็นเรื่องนิยายเหลวไหลและพวกเขาไม่เชื่อ ด้วยความชั่วร้ายที่อยู่ภายใน จึงทำให้พวกเขาเยาะเย้ยผู้สื่อข่าวของพระเจ้า ดูแคลนคำอ้อนวอน และแม้กระทั่งกล่าวหาว่าเขาสร้างเรื่องขึ้นมา เพียงคนเดียวกล้าดีอย่างไรจึงลุกขึ้นต่อต้านผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายของโลก หากคำเตือนของโนอาห์เป็นเรื่องจริง ทำไมทั้งโลกจึงมองไม่เห็นและไม่เชื่อ คนหนึ่งคนกล้ายืนยันต่อต้านปัญญาของคนนับพันๆ คน พวกเขาไม่ยอมรับคำเตือน และไม่ยอมเข้าไปหลบภัยในเรือ {GC 337.3}GCth17 293.3

    คนเย้ยหยันชี้เน้นไปยังสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในธรรมชาติ พวกเขาชี้ไปยังฤดูกาลที่แปรเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง ชี้ไปยังท้องฟ้าสีครามที่ไม่เคยมีฝนตกลงมา ชี้ไปยังทุ่งหญ้าเขียวขจีที่ชุ่มฉ่ำขึ้นจากน้ำค้างที่ตกลงมาในยามค่ำคืน และพวกเขาก็พูดว่า “เขาไม่ได้เล่านิทานอยู่ใช่ไหม” พวกเขาประกาศด้วยความเหยียดหยามว่า นักเทศน์แห่งความชอบธรรมเป็นคนคลั่งศาสนาอย่างรุนแรง แล้วจึงทำในสิ่งที่ตนเองทำต่อไป ตั้งใจแสวงหาความสำราญมากยิ่งกว่าก่อน มุ่งมั่นยิ่งขึ้นกับทางแห่งความชั่วของตน แต่ความไม่เชื่อของพวกเขาก็ไม่อาจหยุดยั้งเหตุการณ์ที่ถูกทำนายไว้ พระเจ้าทรงอดทนนานกับความชั่วของพวกเขา พระองค์ประทานโอกาสมากมายให้พวกเขากลับใจ แต่เมื่อเวลาที่กำหนดมาถึง การพิพากษาของพระองค์จะเกิดขึ้นกับผู้ที่ปฏิเสธพระเมตตาคุณของพระองค์ {GC 338.1}GCth17 294.1

    พระคริสต์ทรงเปิดเผยว่าจะมีการไม่เชื่อเรื่องการเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์ในลักษณะที่คล้ายๆ กันนี้ พระองค์ตรัสไว้ว่า ดั่งคนในสมัยของโนอาห์ “น้ำท่วมกวาดเอาพวกเขาไปทุกคนโดยไม่ทันรู้ตัวอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นอย่างนั้น” มัทธิว 24:39 เมื่อคนที่อ้างตนว่ามีพระเจ้าเข้าร่วมมือกับคนของโลก ดำเนินชีวิตเหมือนพวกเขา และแสวงหาความสนุกสนานที่ต้องห้ามร่วมกันกับพวกเขา เมื่อความหรูหราของโลกนี้กลายมาเป็นความหรูหราของคริสตจักร เมื่อระฆังของพิธีสมรสดังกังวานและทุกคนมองไปยังอนาคตของชีวิตแห่งความร่ำรวยทางฝ่ายโลก และทันใดนั้นเมื่อสายฟ้าแลบสว่างแวบขึ้นมาจากท้องฟ้า อนาคตที่สดใสและความหวังที่หลอกลวงก็จะมาถึงจุดจบ {GC 338.2}GCth17 294.2

    เช่นเดียวกับที่พระเจ้าทรงบัญชาผู้รับใช้ของพระองค์ให้มาเตือนโลกเรื่องน้ำท่วมฉันใด พระองค์ทรงบัญชาผู้สื่อข่าวที่พระองค์ทรงเลือกสรรให้มาแจ้งให้ทราบเรื่องการพิพากษาสุดท้ายที่ใกล้เข้ามา ดั่งคนที่อาศัยในยุคเดียวกับโนอาห์ที่หัวเราะเยาะเย้ยคำทำนายของนักเทศน์แห่งความชอบธรรม ก็เป็นเช่นเดียวกันกับสมัยของมิลเลอร์ที่แม้แต่คนที่ประกาศว่าตนเองเชื่อพระเจ้าก็ยังเยาะเย้ยเสียดสีคำตักเตือนนั้น {GC 339.1}GCth17 295.1

    ทำไมคริสตจักรต่างๆ จึงไม่ยอมรับหลักคำสอนและการประกาศเรื่องการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์นี้เล่า ในขณะที่การเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้านำความหายนะและความเศร้าสลดมาให้คนชั่ว แต่สำหรับคนชอบธรรมแล้วกลับเป็นเรื่องที่เปี่ยมล้นด้วยความสุขชื่นชมและความหวัง ความจริงอันยิ่งใหญ่นี้ปลอบประโลมบรรดาผู้ซื่อสัตย์ของพระเจ้ามาตลอดทุกยุคทุกสมัย แล้วทำไมเรื่องนี้คล้ายกับพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของเรื่องจึงกลับกลายมาเป็น “หินที่ทำให้คนหกล้ม” และ “ศิลาที่ทำให้คนสะดุด” 1 เปโตร 2:8 ให้กับผู้ที่ประกาศตนว่าเป็นประชากรของพระองค์ได้เล่า องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้ทรงสัญญากับสาวกด้วยพระองค์เองว่า “เมื่อเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านแล้ว เราจะกลับมาอีกและรับท่านไปอยู่กับเรา” ยอห์น 14:3 พระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงเปี่ยมด้วยความเมตตาทรงทราบล่วงหน้าถึงความโดดเดี่ยวและความโศกเศร้าของผู้ติดตามพระองค์ พระองค์จึงทรงบัญชาทูตสวรรค์ให้มาปลอบประโลมเพื่อสร้างความมั่นใจว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาเช่นเดียวกับที่พระองค์เสด็จไปยังสวรรค์นั้น ในขณะที่สาวกยืนเพ่งมองขึ้นไปยังเบื้องบนเพื่อดูภาพสุดท้ายของพระองค์ที่พวกเขารัก พวกเขาต้องหยุดชะงักด้วยเสียงหนึ่งซึ่งดังขึ้นมาว่า “ชาวกาลิลีเอ๋ย ทำไมพวกท่านถึงยืนจ้องมองฟ้าสวรรค์ พระเยซูองค์นี้ที่ทรงรับไปจากท่านทั้งหลายขึ้นไปยังสวรรค์นั้น จะเสด็จมาอีกในลักษณะเดียวกับที่ท่านทั้งหลายได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์นั้น” กิจการ 1:11 คำพูดของทูตสวรรค์จุดประกายความหวังขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง สาวกทั้งหลาย “จึงกลับไปที่กรุงเยรูซาเล็มด้วยความยินดีอย่างยิ่งและอยู่ในพระวิหารทุกวันสรรเสริญพระเจ้า” ลูกา 24:52, 53 พวกเขาไม่ได้ชื่นชมยินดีเพราะพระเยซูทรงจากพวกเขาไปและทรงปล่อยให้พวกเขาดิ้นรนกับการทดลองและการล่อลวงของโลก แต่เพราะคำมั่นสัญญาที่ทูตสวรรค์กล่าวว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาอีก {GC 339.2}GCth17 295.2

    บัดนี้การประกาศเรื่องการเสด็จมาของพระคริสต์ควรเป็นเหมือนข่าวแห่งความปรีดียิ่งที่ทูตสวรรค์ประกาศกับคนเลี้ยงแกะแห่งหมู่บ้านเบธเลเฮม ผู้ที่รักพระผู้ช่วยให้รอดอย่างจริงจังจะทำอย่างอื่นไม่ได้นอกจากจะยินดีต้อนรับคำประกาศที่มีรากฐานอยู่บนพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า พระองค์ผู้ทรงเป็นศูนย์กลางของความหวังแห่งชีวิตนิรันดร์จะเสด็จกลับมาอีก แต่จะกลับมาไม่ใช่เพื่อมารับการดูถูกและการเหยียดหยามและการถูกปฏิเสธเหมือนเช่นที่พระองค์เสด็จมาครั้งแรก แต่จะเสด็จมาด้วยอำนาจและพระสิริเพื่อช่วยประชากรของพระองค์ให้รอด ผู้ที่ไม่รักพระผู้ช่วยให้รอดจะเป็นผู้ที่ต้องการให้พระองค์ยังคงอยู่ห่างไกลออกไป และไม่มีหลักฐานอื่นใดที่จะสรุปว่าคริสตจักรเหินห่างจากพระเจ้าได้ดีไปกว่าความฉุนเฉียวและความเกลียดชังที่ถูกกระตุ้นให้เกิดขึ้นจากข่าวสารที่สวรรค์ส่งมาให้ {GC 339.3}GCth17 295.3

    ผู้ที่ยอมรับคำสอนเรื่องการเสด็จกลับมาของพระคริสต์ถูกกระตุ้นให้มองเห็นความจำเป็นที่ต้องกลับใจและถ่อมตนต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า มีคนมากมายที่เคยลังเลระหว่างพระคริสต์และโลก มาบัดนี้ก็รู้สึกว่าถึงเวลาที่ต้องเลือกทางใดทางหนึ่งแล้ว “สิ่งที่เกี่ยวข้องกับนิรันดร์กาลกลายเป็นเรื่องจริงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สวรรค์มาอยู่ใกล้และพวกเขารู้สึกว่าตนเองเป็นคนผิดต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า” Bliss หน้า 146 คริสเตียนตื่นตัวขึ้นกับชีวิตใหม่ในฝ่ายจิตวิญญาณ พวกเขารู้สึกว่าเวลาเหลือน้อย ถ้าจะต้องทำอะไรให้เพื่อนมนุษย์ก็ต้องรีบทำ เวลาของโลกเหลืออยู่เพียงนิดเดียว และดูประหนึ่งว่าช่วงเวลาที่จะเป็นอมตะเริ่มต้นขึ้นตรงหน้าพวกเขาแล้ว และเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับจิตวิญญาณไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสุขหรือความทุกข์ที่เป็นอมตะก็เข้ามาบดบังทุกสิ่งที่เป็นของฝ่ายโลก พระวิญญาณของพระเจ้าประทับอยู่เหนือพวกเขาและประทานอำนาจให้กับคำเชื้อเชิญอย่างจริงใจที่พวกเขามีให้แก่พี่น้องของพวกเขา รวมทั้งให้กับคนบาปทั้งหลายด้วยเพื่อให้เตรียมพร้อมสำหรับวันของพระเจ้า คำพยานเงียบๆ ของชีวิตประจำวันของพวกเขาเป็นคำตำหนิอย่างต่อเนื่องต่อสมาชิกคริสตจักรที่นับถือแต่เพียงในนามและไม่ได้อุทิศถวายตัว คนเหล่านี้ไม่ต้องการให้การแสวงหาความเพลิดเพลิน การมุ่งหวังหาเงินและความทะเยอทะยานใฝ่หาเกียรติยศทางโลกของพวกเขาถูกรบกวน ดังนั้น ความเป็นศัตรูและการต่อต้านจึงหันเป้าเข้าหาคนที่เชื่อเรื่องการเสด็จมาและผู้ที่ประกาศเรื่องนี้ {GC 340.1}GCth17 296.1

    เนื่องจากผู้ต่อต้านไม่สามารถหักล้างคำอธิบายเรื่องช่วงเวลาของคำพยากรณ์ได้ พวกเขาจึงพยายามไม่สนับสนุนการศึกษาเรื่องเหล่านี้โดยสอนว่าคำพยากรณ์นี้ถูกประทับตราปิดไว้แล้ว ดังนั้น คริสตจักรโปรเตสแตนต์จึงเดินตามวิธีการของคริสตจักรโรมัน ในขณะที่คริสตจักรโรมันนำพระคัมภีร์ไปจากประชาชน คริสตจักรโปรเตสแตนต์ก็อ้างว่าในพระวจนะอันศักดิ์สิทธิ์มีบางตอนที่สำคัญซึ่งนำให้เห็นความจริงที่จะนำมาประยุกต์ใช้ในยุคของพวกเราได้นั้นไม่สามารถเข้าใจได้ {GC 340.2}GCth17 296.2

    ผู้รับใช้หลายคนและคนทั้งหลายต่างเปิดเผยว่า คำพยากรณ์ที่อยู่ในพระธรรมดาเนียลและพระธรรมวิวรณ์เป็นเรื่องลึกลับที่ไม่มีใครเข้าใจ แต่พระคริสต์ทรงนำสาวกของพระองค์ไปยังพระวจนะในพระธรรมดาเนียลซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในยุคของเขาทั้งหลายว่า “ให้ผู้อ่านเข้าใจเอาเถิด” มัทธิว 24:15 และข้ออ้างที่ว่าพระธรรมวิวรณ์นั้นลึกลับและเข้าใจไม่ได้จึงขัดแย้งกับชื่อของพระธรรมวิวรณ์ที่ว่า “วิวรณ์ของพระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าประทานแก่พระองค์เพื่อสำแดงต่อบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์เกี่ยวกับสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้.….[ขอ] ความสุขจงมีแก่ผู้ที่อ่านและแก่บรรดาผู้ที่ฟังคำเผยพระวจนะแล้วประพฤติตามสิ่งต่างๆ ที่เขียนไว้ในนั้น เพราะว่าเวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว” วิวรณ์ 1:1-3 {GC 341.1}GCth17 296.3

    ผู้เผยพระวจนะกล่าวว่า ” [ขอ] ความสุขจงมีแก่ผู้อ่าน” มีคนที่ไม่ยอมอ่าน พระพรนั้นจึงไม่ได้มีไว้สำหรับคนๆ นั้น “ผู้ที่ฟังคำเผยพระวจนะ” มีคนที่ไม่ยอมรับฟังเรื่องราวของคำพยากรณ์ พระพรนั้นก็ไม่ได้มีไว้สำหรับคนกลุ่มนี้เช่นกัน “ประพฤติตามสิ่งต่างๆ ที่เขียนไว้ในนั้น” มีคนมากมายไม่ยอมฟังคำเตือนและคำสั่งสอนที่มีในพระธรรมวิวรณ์ คนเหล่านี้จึงไม่อาจอ้างสิทธิรับพระพรที่พระองค์ทรงสัญญาไว้นี้ คนทุกคนที่เยาะเย้ยเรื่องคำพยากรณ์และหัวเราะเยาะสัญลักษณ์ต่างๆ ที่ประทานให้อย่างเคร่งขรึม คนทุกคนที่ไม่ยอมปฏิรูปชีวิตของตนและไม่เตรียมตัวเพื่อรับการเสด็จมาของบุตรมนุษย์ คนเหล่านี้จะไม่ได้รับพระพร {GC 341.2}GCth17 296.4

    เมื่อพิจารณาถึงเรื่องคำพยานที่ได้รับการดลใจนี้ มนุษย์กล้าดีอย่างไรจึงเที่ยวไปสอนว่าพระธรรมวิวรณ์นั้นเป็นหนังสือลึกลับที่มนุษย์ไม่อาจเข้าใจได้ พระธรรมวิวรณ์เป็นหนังสือที่เปิดเผยความลึกลับ เป็นหนังสือที่เปิดอยู่ การศึกษาพระธรรมวิวรณ์จะนำความนึกคิดไปยังคำพยากรณ์ที่อยู่ในพระธรรมดาเนียล และพระธรรมทั้งสองเล่มนี้จะนำคำสอนที่สำคัญซึ่งพระเจ้าประทานให้แก่มนุษย์เพื่อให้เขารับรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อประวัติศาสตร์ของโลกนี้จะสิ้นสุดลง {GC 341.3}GCth17 297.1

    ภาพเหตุการณ์ที่ลึกลับและน่าสนใจที่เป็นประสบการณ์ของคริสตจักรถูกเปิดเผยให้ยอห์นเห็น เขาเห็นสภาพ ภัยอันตราย ความขัดแย้ง และการช่วยประชากรของพระเจ้าให้รอดในครั้งสุดท้าย เขาบันทึกข่าวสารสุดท้ายที่จะกระตุ้นให้ท้องทุ่งของโลกสุก เพื่อเก็บรวบรวมเป็นฟ่อนข้าวเข้าไปในยุ้งฉางแห่งสวรรค์ หรือต้องถูกมัดเพื่อใช้เป็นฟืนสำหรับการทำลายด้วยไฟ เรื่องราวที่สำคัญอย่างยิ่งยวดเหล่านี้ถูกเปิดเผยให้แก่เขาโดยเฉพาะสำหรับคริสตจักรในยุคสุดท้าย เพื่อคนเหล่านั้นที่หันกลับจากความผิดมาสู่ความจริง จะได้รับคำชี้แนะถึงภัยอันตรายและความขัดแย้งที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขา ไม่จำเป็นต้องมีใครตกอยู่ในความมืดมิดในเรื่องเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ {GC 341.4}GCth17 297.2

    ถ้าเช่นนั้น ทำไมการขาดความรู้เรื่องส่วนที่สำคัญยิ่งในพระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์จึงแพร่กระจายไปอย่างกว้างไกลเช่นนี้ ทำไมคนทั่วไปจึงไม่ยอมศึกษาคำสอนของเรื่องนี้ สิ่งนี้เป็นผลของความพยายามที่เจ้าชายแห่งความมืดจัดวางไว้เพื่อปิดหูปิดตามนุษย์เพื่อไม่ให้เห็นการล่อลวงของมัน ด้วยเหตุนี้ พระคริสต์พระผู้ทรงเปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดนี้ทรงทอดพระเนตรเห็นสงครามที่จะเกิดขึ้นเพื่อจู่โจมผู้ที่ศึกษาพระธรรมวิวรณ์ พระองค์จึงทรงประกาศว่าความสุขจะมีไว้ให้แก่ผู้ที่อ่านและผู้ที่ฟังและถือรักษาข้อความที่เขียนไว้ในคำพยากรณ์นี้ {GC 342.1}GCth17 297.3

    *****