บท 4 - ชาววอลเดนซิส
- อารัมภบท
- บทนำของคณะผู้จัดพิมพ์ฉบับภาษาอังกฤษ
- คำนำของผู้ประพันธ์
- บท 1 - ความพินาศของกรุงเยรูซาเล็ม
- บท 2 - การกดขี่ข่มเหงในศตวรรษต้นๆ
- บท 3 - ยุคมืดทางจิตวิญญาณ
- บท 4 - ชาววอลเดนซิส
- บท 5 - ยอห์น ไวคลิฟ
- บท 6 - ฮัสและเจอโรมี
- บท 7 - ลูเธอร์ตีตัวออกห่างจากโรม
- บท 8 - ลูเธอร์รายงานตัวต่อสภา
- บท 9 - นักปฏิรูปศาสนาชาวสวิส
- บท 10 - ความก้าวหน้าของการปฏิรูปในประเทศเยอรมนี
- บท 11 - การประท้วงของเจ้าครองแคว้นต่างๆ
- บท 12 - การปฏิรูปศาสนาในประเทศฝรั่งเศส
- บท 13 - ประเทศเนเธอร์แลนด์และแถบสแกนดิเนเวีย
- บท 14 - นักปฏิรูปศาสนาชาวอังกฤษรุ่นหลัง
- บท 15 - พระคัมภีร์กับการปฏิวัติในประเทศฝรั่งเศส
- บท 16 - บรรพบุรุษที่เป็นพิลกริม
- บท 17 - ผู้ประกาศข่าวของรุ่งอรุณ
- บท 18 -นักปฏิรูปชาวอเมริกันท่านหนึ่ง
- บท 19 - ความสว่างส่องเข้าไปในที่มืด
- บท 20 - การตื่นตัวครั้งยิ่งใหญ่ฝ่ายศาสนา
- บท 21 - คำเตือนที่ถูกปฏิเสธ
- บท 22 - เหตุการณ์เกิดขึ้นตามคำพยากรณ์
- บท 23 - สถานนมัสการคืออะไร
- บท 24 - อภิสุทธิสถาน
- บท 25 - พระบัญญัติของพระเจ้าเปลี่ยนแปลงไม่ได้
- บท 26 - ภารกิจหนึ่งของการปฏิรูป
- บท 27 - การฟื้นฟูยุคใหม่
- บท 28 - เผชิญหน้ากับหนังสือบันทึกแห่งชีวิต
- บท 29 - จุดเริ่มต้นของความชั่ว
- บท 30 - มนุษย์และซาตานเป็นศัตรูกัน
- บท 31 - สื่อวิญญาณชั่ว
- บท 32 - กับดักของซาตาน
- บท 33 - การหลอกลวงยิ่งใหญ่ครั้งแรก
- บท 34 - คนตายติดต่อกับเราได้หรือ
- บท 35 - เสรีภาพของจิตสำนึกถูกคุกคาม
- บท 36 - การขัดแย้งที่กำลังจะเกิดขึ้น
- บท 37 - พระคัมภีร์เป็นโล่ป้องกัน
- บท 38 - คำเตือนสุดท้าย
- บท 39 - เวลาแห่งความทุกข์ยาก
- บท 40 - ประชากรของพระเจ้าได้รับการช่วยกู้
- บท 41 - โลกร้างอ้างว้าง
- บท 42 - ความขัดแย้งสิ้นสุดแล้ว
Search Results
- Results
- Related
- Featured
- Weighted Relevancy
- Content Sequence
- Relevancy
- Earliest First
- Latest First
- Exact Match First, Root Words Second
- Exact word match
- Root word match
- EGW Collections
- All collections
- Lifetime Works (1845-1917)
- Compilations (1918-present)
- Adventist Pioneer Library
- My Bible
- Dictionary
- Reference
- Short
- Long
- Paragraph
No results.
EGW Extras
Directory
บท 4 - ชาววอลเดนซิส
ท่ามกลางความมืดที่ปกคลุมโลกในช่วงเวลาอันยาวนานแห่งการเรืองอำนาจของระบอบเปปาซี แสงสว่างแห่งความจริงก็ไม่ได้ดับไปจนหมดสิ้น ในทุกยุคทุกสมัย ยังมีคนยอมเป็นพยานเพื่อพระเจ้า เป็นคนที่ยึดมั่นในความเชื่อว่าพระคริสต์ทรงเป็นคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ พวกเขายึดถือพระคัมภีร์เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต และเป็นผู้ถือรักษาวันสะบาโตที่แท้จริง โลกต้องเป็นหนี้บุคคลเหล่านี้มากเพียงไร คนรุ่นหลังไม่มีวันรับรู้เลย พวกเขาถูกตราว่าเป็นคนนอกรีต เจตนารมณ์ของพวกเขาถูกประณาม อุปนิสัยถูกใส่ร้าย ผลงานเขียนของเขาเหล่านั้นถูกปราบปราม แปลความหมายให้ผิดหรือถูกทำลาย ถึงกระนั้น พวกเขายืนหยัดอย่างมั่นคง และจากยุคหนึ่งไปสู่อีกยุคหนึ่ง พวกเขายังคงรักษาความเชื่อของตนอย่างบริสุทธิ์ เพื่อเป็นมรดกอันศักดิ์สิทธิ์สำหรับคนรุ่นต่อไป {GC 61.1}GCth17 51.1
ประวัติศาสตร์ประชากรของพระเจ้าในช่วงยุคมืดที่เกิดขึ้นหลังจากโรมเรืองอำนาจนั้นถูกจารึกไว้ในสวรรค์ มนุษย์บันทึกประวัติศาสตร์เหล่านี้ไว้น้อยมาก แต่ร่องรอยที่เป็นหลักฐานว่าเคยมีคนเหล่านี้อยู่ในโลกก็มีหลงเหลืออยู่บ้าง ยกเว้นคำกล่าวหาของผู้ที่กดขี่ข่มเหงพวกเขา เพราะเป็นนโยบายของโรมที่ต้องการลบล้างร่องรอยของความไม่พอใจทั้งหมดออกไปจากหลักคำสอนหรือคำสั่งของตน โรมจะคอยทำลายทุกๆ อย่างที่นอกรีตทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือผลงานเขียน คำพูดที่ไม่เชื่อหรือสงสัยในที่มาของคำสอนของระบอบเปปาซี ก็เพียงพอที่จะมีโทษถึงตาย ไม่ว่าคนๆ นั้นจะร่ำรวยหรือยากจน เป็นคนมีระดับหรือไม่มีระดับ นอกจากนั้น โรมยังพยายามทำลายหลักฐานความโหดเหี้ยมทุกชิ้นที่ปฏิบัติต่อผู้คัดค้าน สภาระบอบเปปาซีออกคำสั่งให้เผาหนังสือและข้อเขียนทุกเรื่องที่กล่าวถึงเหตุการณ์เหล่านี้ทิ้ง ก่อนการคิดค้นเรื่องการพิมพ์ มีหนังสืออยู่ไม่มากและมักอยู่ในสภาพที่ยากต่อการเก็บรักษา ด้วยเหตุนี้ จึงยากที่จะปกป้องไม่ให้ผู้นิยมลัทธิโรมันทำลายหนังสือเหล่านี้ {GC 61.2}GCth17 51.2
โรมไม่ปล่อยให้โบสถ์ใดใต้อำนาจการปกครองของเธอได้รับเสรีภาพทางความคิดโดยไม่ถูกรบกวน หลังจากที่ระบอบเปปาซีเรืองอำนาจ โรมก็เริ่มยื่นมือออกไปเพื่อบดขยี้ทุกคนที่ไม่ยอมรับความยิ่งใหญ่ของตน และโบสถ์แล้วโบสถ์เล่าก็ต้องทยอยกันมาสยบอยู่ใต้อำนาจของเธอ {GC 62.1}GCth17 51.3
ในราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ [อังกฤษ เวลส์และสก๊อตแลนด์] คริสต์ศาสนาดั้งเดิมหยั่งรากตั้งแต่สมัยแรกเริ่ม พระกิตติคุณที่ชาวเครือจักรภพอังกฤษรับไว้ในศตวรรษต้นๆ นั้นไม่ถูกปนเปื้อนด้วยการละทิ้งความเชื่อของชาวโรมัน การกดขี่ข่มเหงจากจักรพรรดิที่ไร้ศาสนาแผ่ขยายมาจนถึงชายฝั่งที่ห่างไกล นั่นคือของขวัญที่คริสตจักรรุ่นแรกของอังกฤษรับจากโรม คริสเตียนมากมายหนีการกดขี่ในประเทศอังกฤษเข้าไปหลบภัยในประเทศสก๊อตแลนด์ จากที่นั่น ความจริงถูกกระจายไปยังประเทศไอร์แลนด์ และประเทศเหล่านี้ต้อนรับพระกิตติคุณด้วยความเปรมปรีดิ์ {GC 62.2}GCth17 51.4
เมื่อชาวแซกโซนบุกรุกเข้ามาในประเทศอังกฤษได้สำเร็จ ความเชื่อนอกศาสนาเรืองอำนาจ ผู้ที่เข้ามาควบคุมมองดูว่าเป็นการเสียเกียรติยิ่งที่จะปล่อยให้ทาสเป็นผู้สั่งสอนพวกเขา คริสเตียนจึงถูกบังคับให้ล่าถอยไปยังภูเขาและทุ่งโล่ง แต่กระนั้น แสงสว่างที่ถูกปกปิดไว้ชั่วขณะหนึ่งก็ยังคงส่องสว่างต่อไป หลังจากนั้นหนึ่งศตวรรษ ในประเทศสก๊อตแลนด์แสงสว่างนี้ส่องไปยังดินแดนที่อยู่ห่างไกลออกไป โคลัมบาแห่งประเทศไอร์แลนด์ ผู้เคร่งศาสนา และผู้ร่วมงานของเขารวบรวมเหล่าผู้เชื่อที่กระจัดกระจายให้มารวมกันบนเกาะไอโอนาอันโดดเดี่ยว จัดตั้งที่นี่ให้เป็นศูนย์กลางของการรับใช้ ท่ามกลางผู้ประกาศพระกิตติคุณเหล่านี้ มีผู้ถือรักษาวันสะบาโตตามพระคัมภีร์อยู่คนหนึ่ง ดังนั้นความจริงของเรื่องนี้จึงถูกถ่ายทอดให้แก่คนเหล่านี้ มีการจัดตั้งโรงเรียนขึ้นบนเกาะไอโอนา นักเรียนจากโรงเรียนนี้ถูกส่งออกไปเป็นมิชชันนารี ไม่เพียงแต่ไปยังประเทศสก๊อตแลนด์และประเทศอังกฤษเท่านั้น แต่ไปยังประเทศเยอรมนี สวิสเซอร์แลนด์ และแม้กระทั่งประเทศอิตาลีด้วย {GC 62.3}GCth17 52.1
แต่สายตาของโรมจ้องอยู่ที่กลุ่มประเทศอังกฤษและมุ่งมั่นที่จะนำเข้ามาให้อยู่ภายใต้อำนาจของเธอ ในศตวรรษที่หก มิชชันนารีของโรมเข้าไปทำให้ชาวแซกโซนที่ไร้ศาสนารับเชื่อ คนเถื่อนผู้ทะนงตนต้อนรับมิชชันนารีเหล่านี้ด้วยความชื่นชม และพวกเขานำอีกหลายพันคนมารับความเชื่อของโรม ในขณะที่งานเจริญก้าวหน้าไปนั้น บรรดาผู้นำจากระบอบเปปาซีาและผู้ที่รับเชื่อใหม่ของเขาได้สัมผัสกับคริสเตียนที่เป็นแบบดั้งเดิม ความแตกต่างอย่างโดดเด่นปรากฏชัด คริสเตียนแบบดั้งเดิมเหล่านี้เรียบง่าย ถ่อมตนและมีอุปนิสัยอยู่ในแนวของพระคัมภีร์ ทั้งในหลักคำสอนและกิริยาท่าทาง ขณะที่คริสเตียนจากโรมแสดงออกถึงความงมงาย ความหรูหราและความยโสของหลักคำสอนและพิธีกรรมของระบอบเปปาซี ผู้แทนของโรมต้องการให้คริสตจักรเหล่านี้ยอมรับอำนาจสูงสุดของพระสันตะปาปา ชาวอังกฤษตอบด้วยความถ่อมตนว่า พวกเขาปรารถนาที่จะรักมนุษย์ทุกคน และพระสันตะปาปาไม่ควรได้รับอำนาจยิ่งใหญ่ในคริสตจักร และพวกเขายอมมอบความนอบน้อมต่อพระสันตะปาปาเท่าๆ กับที่ให้กับผู้ติดตามของพระคริสต์ มีความพยายามอยู่หลายครั้งที่จะทำให้พวกเขาภักดีต่อโรม แต่คริสเตียนที่ถ่อมเหล่านี้ต้องประหลาดใจกับความยโสที่ตัวแทนของโรมแสดงออกมา พวกเขาตอบด้วยความแน่วแน่ว่า เขาไม่มีพระอาจารย์อื่นใดนอกจากพระคริสต์ บัดนี้ สภาพที่แท้จริงของระบอบเปปาซีจึงเปิดเผยออกมาให้เห็น ผู้นำของโรมกล่าวว่า “หากพวกเจ้าไม่ยอมรับพี่น้องที่นำสันติสุขมาให้ เจ้าก็จะต้องรับศัตรูที่นำสงครามมาให้ หากเจ้าไม่ยอมเข้าร่วมกับเราในการสอนสั่งเพื่อนำวิถีทางแห่งชีวิตให้แก่ชาวแซกโซนทั้งหลาย เจ้าก็จะได้รับการทุบตีของความตายจากพวกเขา” J. H. Merle D’Aubigne, History of the Reformation of the Sixteenth Century เล่มที่ 17 บทที่ 2 นี่ไม่ใช่การข่มขู่เท่านั้น พวกเขานำสงคราม กลอุบายและการหลอกลวงเข้ามาต่อสู้พยานที่เชื่อพระคัมภีร์เหล่านี้ จนกระทั่งคริสตจักรแห่งอังกฤษถูกทำลาย หรือถูกบังคับให้ยอมจำนนต่ออำนาจของพระสันตะปาปา {GC 62.4}GCth17 52.2
ตลอดช่วงเวลาหลายศตวรรษในดินแดนที่อยู่นอกการปกครองของอำนาจโรมนั้น ยังมีกลุ่มคริสเตียนที่แทบไม่ได้รับผลกระทบจากความเสื่อมทรามของระบอบเปปาซี พวกเขาถูกห้อมล้อมด้วยคนไม่มีศาสนา และเมื่อเวลาผ่านไป ก็ได้รับผลกระทบจากความเชื่อที่ผิดๆ ของคนไม่มีศาสนาเหล่านี้บ้าง แต่พวกเขาก็ยังคงถือว่าพระคัมภีร์เป็นมาตรฐานเดียวของความเชื่อและยังยึดถือความจริงอีกมากมายในพระคัมภีร์ คริสเตียนเหล่านี้เชื่อว่าพระบัญญัติของพระเจ้ายั่งยืนและถือรักษาวันสะบาโตแห่งพระบัญญัติข้อที่สี่ โบสถ์ต่างๆ ที่มีและถือรักษาความเชื่อเช่นนี้ พบได้ในภาคกลางของทวีปแอฟริกาและในท่ามกลางชาวอาร์มีเนียในทวีปเอเชีย {GC 63.1}GCth17 53.1
แต่ในบรรดาผู้ที่ต่อต้านการบุกรุกของอำนาจแห่งระบอบเปปาซีนั้น ชาววอลเดนซิสจะปรากฏอยู่ในระดับแนวหน้า ในทุกหนแห่งที่หลักคำสอนและพิธีกรรมของระบอบเปปาซีเข้าไปยึดพื้นที่ไว้ ที่นั่นคำสอนเทียมเท็จและความฉ้อฉลของโรมจะถูกต่อต้านอย่างเหนียวแน่นที่สุด เป็นเวลาหลายศตวรรษที่คริสตจักรแห่งพิดมอนต์คงความเป็นเอกราชไว้ได้ แต่ในที่สุด เวลานั้นก็มาถึง เมื่อโรมยืนกรานที่จะให้พวกเขาต้องยอมจำนน ภายหลังจากการต่อสู้กับความโหดเหี้ยมของโรมอย่างไร้ผล ผู้นำของคริสตจักรเหล่านี้ยอมรับอย่างไม่เต็มใจต่อความยิ่งใหญ่ของอำนาจที่ดูราวกับว่าทั่วโลกให้การยอมรับ แต่ยังมีบางคนที่ปฏิเสธไม่ยอมรับอำนาจของพระสันตะปาปาหรือของพระราชาคณะ พวกเขาตั้งใจที่จะรักษาความภักดีที่มีต่อพระเจ้า และต้องการถนอมรักษาความบริสุทธิ์และความเรียบง่ายที่อยู่ในความเชื่อของพวกเขา การแตกแยกจึงเกิดขึ้น ผู้ที่ยึดมั่นในความเชื่อเก่าแก่ถึงตอนนี้จำต้องถอนตัวออกไป บางคนละทิ้งถิ่นเดิมที่อยู่บนเทือกเขาแอลป์ ไปชูธงแห่งความจริงในดินแดนต่างชาติ ส่วนคนอื่นๆ ล่าถอยออกไปหลบอยู่ในหุบเขาอันคับแคบและที่มั่นบนภูเขาที่ขรุขระ เพื่อรักษาเสรีภาพที่จะนมัสการพระเจ้าที่นั่น {GC 64.1}GCth17 53.2
ความเชื่อที่คริสเตียนชาววอลเดนซิสยึดถือและสั่งสอนกันเป็นเวลาหลายศตวรรษนั้นช่างแตกต่างอย่างชัดเจนจากหลักคำสอนผิดๆ ของโรม ความเชื่อในศาสนาของพวกเขาวางอยู่บนพื้นฐานที่จารึกในพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งเป็นระบบที่แท้จริงของคริสเตียน ชาวนาสมถะเหล่านั้นอาศัยอย่างโดดเดี่ยว แยกตัวเองออกจากโลกภายนอก และตรากตรำกับงานประจำวันของพวกเขาท่ามกลางฝูงสัตว์และสวนองุ่น ความขัดแย้งที่พวกเขามีต่อคำสอนและพิธีนอกศาสนาของคริสตจักรที่ละทิ้งความเชื่อนั้น พวกเขาไม่ได้สร้างขึ้นมาเอง ความเชื่อของพวกเขาไม่ใช่เป็นเรื่องที่ได้รับมาใหม่ ความเชื่อทางศาสนาของพวกเขาเป็นมรดกที่รับมาจากบรรพบุรุษ พวกเขาต่อสู้เพื่อความเชื่อของคริสตจักรของอัครทูต ซึ่งเป็น “หลักความเชื่อที่ได้ทรงมอบให้กับพวกธรรมิกชนครั้งเดียวสำหรับตลอดไป” ยูดา 3 “คริสตจักรในป่ากันดาร” ไม่ใช่สภาการปกครองของคณะสงฆ์ที่ทะนงตนซึ่งสถาปนาอยู่ในเมืองหลวงยิ่งใหญ่ของโลก แต่เป็นคริสตจักรที่แท้จริงของพระคริสต์ ซึ่งพิทักษ์สมบัติแห่งความจริงที่พระเจ้าทรงโปรดมอบไว้ให้ประชากรของพระองค์เพื่อส่งต่อให้กับชาวโลก {GC 64.2}GCth17 53.3
ในบรรดาสาเหตุโดดเด่นที่ทำให้คริสตจักรแท้จริงต้องแยกตัวออกจากโรมนั้นคือ ความเกลียดชังของโรมที่มีต่อวันสะบาโตที่พระคัมภีร์สอนไว้ ตามที่คำพยากรณ์ทำนายล่วงหน้าไว้ว่า อำนาจของระบอบเปปาซีจะโยนทิ้งความจริงสู่พื้นดิน พระบัญญัติของพระเจ้าจะถูกเหยียบย่ำกับฝุ่นบนพื้น ในขณะที่ขนบธรรมเนียมประเพณีของมนุษย์ถูกเชิดชูขึ้นให้สูง คริสตจักรต่างๆ ที่อยู่ภายใต้การปกครองของระบอบเปปาซีถูกบังคับไว้ตั้งแต่แรกให้ถวายเกียรติวันอาทิตย์เป็นวันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ ท่ามกลางความผิดและความเชื่องมงายที่มีอยู่ทั่วไป ก็ยังมีประชากรที่แท้จริงของพระเจ้าที่สงสัยว่าในเมื่อพวกเขาถือรักษาวันสะบาโตอยู่แล้ว พวกเขายังต้องละเว้นจากการทำงานในวันอาทิตย์อีกด้วย แต่การกระทำเช่นนี้ไม่ได้ทำให้บรรดาผู้นำของระบอบเปปาซีพอใจ พวกเขาไม่เพียงแต่ต้องการให้ถือรักษาวันอาทิตย์ให้เป็นวันบริสุทธิ์เท่านั้น แต่ต้องการทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของวันสะบาโตด้วย และพวกเขาใช้ภาษาที่รุนแรงตำหนิผู้ที่กล้าให้เกียรติวันนั้น มีเพียงผู้ที่หนีไปให้พ้นจากอำนาจของโรมเท่านั้นที่จะมีสันติสุขในการปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้า (ดูภาคผนวก) {GC 65.1}GCth17 54.1
ชาววอลเดนซิสเป็นหนึ่งในหมู่คนกลุ่มแรกของทวีปยุโรปที่มีพระคัมภีร์ฉบับแปล (โปรดดูภาคผนวก) พวกเขามีพระคัมภีร์ที่เขียนด้วยมือในภาษาของตนเองมาหลายร้อยปีก่อนมีการปฏิรูปศาสนา [Reformation การปฏิรูปศาสนาในศตวรรษที่ 16 ที่ประเทศเยอรมนี ฝรั่งเศส สวิสเซอร์แลนด์และอังกฤษ ซึ่งผลการปฏิรูปนี้นำไปสู่นิกายโปรเตสแตนต์ในเวลาต่อมา] พวกเขาจึงมีความจริงที่ไม่มีสิ่งอื่นเจือปน เรื่องนี้ยิ่งทำให้พวกเขาตกเป็นเป้าหมายสำคัญแห่งความเกลียดชังและการกดขี่ พวกเขาประกาศว่า คริสตจักรแห่งโรมเป็นกรุงบาบิโลนที่ละทิ้งความเชื่อตามที่ระบุไว้ในพระธรรมวิวรณ์ และพวกเขาเสี่ยงชีวิตของตนเองเพื่อยืนขึ้นมาต่อต้านอำนาจที่เสื่อมทรามของโรม ในขณะที่ตกอยู่ภายใต้การกดดันของการกดขี่ข่มเหงอย่างต่อเนื่องยาวนาน มีบางคนยอมประนีประนอมความเชื่อของพวกเขา ยอมทิ้งหลักการที่โดดเด่นไปทีละเล็กทีละน้อย ส่วนคนอื่นๆ ก็ยังคงยึดมั่นในความจริง ตลอดระยะเวลาอันยาวนานของยุคมืดและการละทิ้งความเชื่อนั้น มีชาววอลเดนซิสที่ไม่ยอมรับความยิ่งใหญ่ของโรม ผู้ซึ่งไม่ยอมกราบไหว้บูชารูปเคารพและเป็นผู้ที่ถือรักษาวันสะบาโตที่แท้จริง ภายใต้พายุแห่งการต่อต้านที่รุนแรงที่สุด พวกเขาคงรักษาความเชื่อไว้ แม้ว่าพวกเขาจะถูกฆ่าตายด้วยหอกของชาวซาวอย และถูกย่างสดด้วยดุ้นฟืนของชาวโรมัน พวกเขายังยืนหยัดเพื่อพระวจนะของพระเจ้าและพระเกียรติของพระองค์อย่างไม่หวั่นไหว {GC 65.2}GCth17 54.2
ชาววอลเดนซิสพบป้อมปราการลี้ภัยหลังยอดเทือกเขาสูง เช่นเดียวกับผู้ที่ถูกกดขี่และบีบบังคับในทุกยุคทุกสมัย ณ ที่หลบซ่อนเหล่านี้ แสงสว่างแห่งความจริงยังลุกโชติช่วงอยู่ท่ามกลางความมืดมิดของยุคกลาง จากสถานที่แห่งนี้ เหล่าพยานเพื่อความจริงยังคงรักษาความเชื่ออันเก่าแก่ของพวกเขาไว้ได้ถึงกว่าหนึ่งพันปี {GC 65.3}GCth17 55.1
พระเจ้าประทานที่หลบภัยยิ่งใหญ่น่าเกรงขามให้แก่ประชากรของพระองค์ ซึ่งพอเหมาะกับความจริงอันยิ่งใหญ่ที่ทรงโปรดมอบให้พวกเขา สำหรับผู้ซื่อสัตย์ที่ต้องลี้ภัยเหล่านี้ ภูเขาสูงเป็นสัญลักษณ์ถึงความชอบธรรมของพระยาห์เวห์พระผู้ไม่ผันแปร พวกเขาชี้ให้ลูกๆ ดูยอดภูเขาสูงใหญ่ที่ยืนตระหง่านอย่างคงที่ และเล่าให้ลูกๆ ฟังถึงพระองค์ผู้ทรงไม่แปรผันและไม่มีการเปลี่ยนแปลง และพระดำรัสของพระองค์จะยั่งยืนตลอดไปดั่งภูเขาที่มั่นคงถาวร พระเจ้าทรงยึดภูเขาไว้มั่นและผูกมัดขุนเขาไว้อย่างแข็งแรง ไม่มีมือใดที่จะเคลื่อนย้ายมันออกไปได้ เว้นแต่พระหัตถ์ของพระองค์ผู้ทรงมีอำนาจอันไร้ขอบเขต ในทำนองเดียวกัน พระองค์ทรงสถาปนาพระบัญญัติของพระองค์ ซึ่งเป็นรากฐานการปกครองของพระองค์ในสวรรค์และบนโลก มือของมนุษย์อาจยื่นไปยังเพื่อนมนุษย์และทำลายชีวิตของเขา แต่มือนั้นก็อาจพร้อมที่จะถอนรากของภูเขาออกมาจากฐานของมันและเหวี่ยงมันทิ้งไปในทะเลได้เช่นเดียวกับที่มันอาจเปลี่ยนแปลงธรรมบัญญัติข้อหนึ่งของพระยาห์เวห์ หรือลบพระสัญญาสักข้อหนึ่งที่พระองค์ทรงมีไว้ให้แก่ผู้ที่กระทำตามพระประสงค์ของพระองค์ ผู้รับใช้ของพระเจ้าจึงจำต้องมีความซื่อตรงต่อพระบัญญัติของพระองค์อย่างมั่นคงดั่งเช่นภูเขาที่ไม่ผันแปร {GC 66.1}GCth17 55.2
ภูเขาที่ห้อมล้อมหุบเขาที่พวกเขาอาศัยอยู่นั้น เป็นพยานถึงอำนาจแห่งการทรงสร้างของพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง และเป็นคำสัญญาถึงการปกป้องดูแลอย่างไม่มีวันเสื่อมคลายของพระองค์ ผู้แสวงบุญเหล่านั้นเรียนรู้และรักสัญลักษณ์ที่สงบนิ่งของการสถิตอยู่ด้วยของพระยาห์เวห์ พวกเขาไม่ปล่อยตัวให้กับการโอดครวญถึงความยากลำบากในชีวิต ในท่ามกลางความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวของขุนเขา พวกเขาไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยว พวกเขาขอบคุณพระเจ้าที่ประทานที่หลบซ่อนจากความโกรธและความโหดร้ายของมนุษย์ พวกเขาปีติยินดีในเสรีภาพที่จะนมัสการต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ได้ บ่อยครั้งเมื่อศัตรูตามล่าพวกเขา ป้อมปราการที่แข็งแกร่งของภูเขาก็เป็นที่ปกป้องอันมั่นคงของพวกเขา พวกเขาร้องถวายสรรเสริญพระเจ้าจากหน้าผาสูงชันต่างๆ และกองทัพของโรมไม่อาจทำให้เสียงเพลงแห่งการขอบคุณพระเจ้าเงียบไปได้ {GC 66.2}GCth17 55.3
ความเลื่อมใสของผู้ติดตามพระคริสต์เหล่านี้บริสุทธิ์ เรียบง่ายและร้อนรน พวกเขาถือว่าหลักการแห่งความจริงมีคุณค่าเหนือบ้านและที่ดิน มิตรสหาย ญาติสนิท แม้กระทั่งชีวิตของเขาเอง พวกเขากระตือรือร้นที่จะให้หลักการเหล่านี้ฝังลึกเข้าไปในจิตใจของเยาวชน เยาวชนจะถูกสอนเรื่องราวในพระคัมภีร์และแนะนำให้รักษาข้อกำหนดในพระบัญญัติของพระเจ้าให้ศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่อายุยังน้อยๆ เนื่องจากพระคัมภีร์มีอยู่น้อยเล่ม ดังนั้น พวกเขาจึงนำข้อพระวจนะอันมีค่าเหล่านี้ใส่เข้าไปในสมอง มีหลายคนท่องข้อความพระคัมภีร์จากทั้งภาคพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ได้เป็นตอนยาวๆ การนึกคิดเกี่ยวกับพระเจ้ามีความเชื่อมโยงเหมือนเช่นภาพอันสง่างามของธรรมชาติและเหมือนเช่นพระพรอันเรียบง่ายของชีวิตประจำวัน เด็กเล็กๆ เรียนรู้ที่จะมองไปยังพระเจ้าด้วยความขอบพระคุณว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานพระกรุณาและความสุขสำราญให้แก่พวกเขา {GC 67.1}GCth17 56.1
พ่อแม่ที่อ่อนน้อมสุภาพและเปี่ยมด้วยรักก็รักลูกๆ ของตนอย่างชาญฉลาดเกินกว่าที่จะปล่อยให้พวกเขาคุ้นเคยกับการตามใจตนเอง เพราะเบื้องหน้าของพวกเขานั้น คือชีวิตที่มีการทดลองและความยากลำบาก หรืออาจจะเป็นความตายที่ต้องยอมพลีชีพ พวกเขาได้รับการฝึกสอนตั้งแต่เด็กๆ ให้อดทนต่อความยากลำบาก ให้ยอมอยู่ภายใต้การควบคุม แต่กระนั้นเขาจะต้องรู้จักคิดและลงมือทำการด้วยตนเอง พวกเขาถูกสั่งสอนให้รู้จักรับผิดชอบตั้งแต่อายุยังน้อย ให้ควบคุมคำพูดและเข้าใจปัญญาของการนิ่งเงียบ คำพูดที่ไม่เหมาะสมเพียงคำเดียวที่ศัตรูของเขาได้ยิน อาจไม่เพียงนำภัยมายังผู้พูดเท่านั้น แต่อาจนำภัยมาถึงชีวิตของพี่น้องของเขานับร้อยๆ คน ดั่งสุนัขป่าที่ตามล่าเหยื่อของมัน เหล่าศัตรูแห่งความจริงต่างจ้องไล่ล่าผู้ที่กล้าทวงถามหาเสรีภาพทางความเชื่อของศาสนา {GC 67.2}GCth17 56.2
ชาววอลเดนซิสสละทิ้งความร่ำรวยทางโลกเพื่อเห็นแก่ความจริง ด้วยความอดทนเพื่อหาอาหารเลี้ยงชีพ พวกเขาพัฒนาที่ดินทุกตารางนิ้วที่อยู่บนภูเขาเพื่อใช้เพาะปลูกด้วยความระมัดระวังและเอาใจใส่ ทำให้หุบเขาและเนินเขาที่ไม่สู้อุดมนักเกิดผลขึ้นมาได้ ความประหยัดและการหักห้ามใจอย่างถึงที่สุดเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา ซึ่งเป็นมรดกอันเดียวที่ลูกๆ ของพวกเขาได้รับ เด็กๆ ได้รับการสั่งสอนว่าพระเจ้าทรงกำหนดให้ชีวิตต้องมีกรอบระเบียบ และความต้องการของพวกเขาจะได้มาด้วยการลงแรงทำงาน การวางแผนล่วงหน้า การใส่ใจและความเชื่อ การกระทำเช่นนั้นต้องใช้ความอุตสาหะและเหน็ดเหนื่อย แต่จะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างยิ่ง นี่คือสิ่งที่มนุษย์ในสภาพที่ล้มในบาปจำเป็นต้องทำ เป็นการเรียนรู้ที่พระเจ้าประทานให้เพื่อฝึกหัดและพัฒนา ในขณะที่เยาวชนทำตัวให้คุ้นเคยกับงานหนักและยากลำบากนั้น พวกเขาก็ไม่ได้ละเลยการปลูกฝังทางปัญญา พวกเขาถูกสอนว่าความสามารถทั้งหมดของพวกเขานั้นเป็นของพระเจ้า และจะต้องปรับปรุงและพัฒนาให้ดีขึ้นเพื่อพระราชกิจของพระองค์ {GC 67.3}GCth17 56.3
คริสตจักรของชาววูดัวซ์ [Vaudois ชื่อในปัจจุบันของชาววอลเดนซิส] มีลักษณะคล้ายคลึงคริสตจักรของสมัยอัครทูตในด้านความบริสุทธิ์และความเรียบง่าย พวกเขาไม่ยอมรับความเป็นใหญ่ของพระสันตะปาปาและพระราชาคณะ แต่ยึดถือพระคัมภีร์เป็นสิทธิอำนาจเดียวที่สูงสุดและไม่เคยผิดเพี้ยน ไม่เหมือนนักบวชของโรมที่ฝักใฝ่ความเป็นใหญ่ ศิษยาภิบาลของพวกเขาปฏิบัติตามแบบอย่างของพระอาจารย์ของพวกเขาที่ว่าพระองค์ “ไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อปรนนิบัติคนอื่น” มัทธิว 20:28 พวกเขาเลี้ยงดูฝูงแกะของพระเจ้า นำแกะไปยังทุ่งหญ้าเขียวสดและไปยังพระวจนะศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ซึ่งเป็นน้ำพุแห่งชีวิต พิธีนมัสการของชาววอลเดนซิสก็ช่างแตกต่างจากพิธีอันเอิกเกริกและน่าภูมิใจของคนทั่วไป พวกเขาไม่ได้ชุมนุมกันในอาคารโบสถ์ที่หรูหรา ยิ่งใหญ่ตระการตา แต่ชุมนุมกันอยู่ภายใต้ร่มเงาของภูเขา ในหุบเขาแห่งเทือกเขาแอลป์ หรือในช่วงเวลาอันตราย จะชุมนุมกันอยู่ในป้อมปราการหินเพื่อฟังพระวจนะแห่งความจริงจากผู้รับใช้ของพระคริสต์ ศิษยาภิบาลไม่เพียงเทศนาพระกิตติคุณ แต่ยังออกเยี่ยมผู้ป่วย สอนศาสนาให้กับเด็กๆ ด้วยวิธีการถามตอบ เตือนสติผู้หลงผิดและทำงานเพื่อยุติความขัดแย้งและเสริมสร้างความปรองดองและความรักฉันพี่น้อง ในช่วงเวลาที่สงบ พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ด้วยเงินถวายจากจิตศรัทธา แต่พวกเขาก็ทำตัวเหมือนเช่นเปาโลซึ่งเป็นช่างทำเต็นท์ ศิษยาภิบาลแต่ละคนจะเรียนรู้การงานหรืออาชีพบางอย่างที่จะใช้จุนเจือชีวิตของเขาเองได้ หากจำเป็นที่จะต้องทำ {GC 68.1}GCth17 57.1
เยาวชนได้รับการสอนสั่งจากศิษยาภิบาลของพวกเขา ถึงแม้ว่าเยาวชนเหล่านี้ต้องใส่ใจกับการศึกษาในสาขาวิชาทั่วไปก็ตาม แต่พระคัมภีร์ก็ยังเป็นวิชาหลัก พวกเขาท่องจำพระคริสตธรรมกิตติคุณมัทธิวและยอห์นได้ทั้งหมด และยังจดจำจดหมายต่างๆ ของอัครทูตได้หลายเล่ม พวกเขาถูกใช้ให้คัดลอกพระคัมภีร์ มีฉบับคัดลอกบางฉบับบรรจุพระคัมภีร์ทั้งเล่ม บางฉบับก็คัดลอกเป็นตอนสั้นๆ ที่ได้รับการเลือกสรรพร้อมคำอธิบายอย่างง่ายๆ โดยผู้ที่มีความสามารถอธิบายข้อพระคัมภีร์ ด้วยวิธีนี้ ขุมทรัพย์แห่งความจริงที่ผู้ที่ต้องการยกตนเหนือพระเจ้าพยายามปกปิดมาเป็นเวลานานจึงถูกเปิดเผยออกมา {GC 68.2}GCth17 57.2
การคัดลอกพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ออกมาทีละข้อ ทีละบทได้นั้นต้องใช้ความอดทน การทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย บ่อยครั้งที่การคัดลอกนี้กระทำกันภายใต้แสงคบเพลิงในถ้ำลึกที่มืดมิดของโลก ด้วยวิธีการเช่นนี้ที่พระราชกิจของพระเจ้าดำเนินต่อไป ทำให้เห็นน้ำพระทัยของพระเจ้าที่เจิดจ้าขึ้นมาดั่งทองคำบริสุทธิ์ และจะสว่าง สดใสและมีฤทธานุภาพมากขึ้นสักปานใด ผู้ที่จะรับรู้ความทุกข์ยากของคนเหล่านี้ได้ก็มีแต่ผู้ที่ร่วมในการทำงานนี้เท่านั้น ทูตสวรรค์ห้อมล้อมอยู่รอบคนงานผู้ซื่อสัตย์เหล่านี้ {GC 69.1}GCth17 57.3
ซาตานผลักดันบรรดาบาทหลวงและพระราชาคณะของระบอบเปปาซีให้ฝังพระวจนะแห่งความจริงลงไปใต้กองขยะของคำสอนผิด คำสอนนอกรีตและความเชื่อที่งมงาย แต่ด้วยวิธีการอัศจรรย์ที่สุด พระวจนะของพระเจ้าถูกปกป้องไว้ตลอดยุคมืดอย่างไม่มีด่างพร้อย ด้วยเหตุว่า พระวจนะนี้ไม่ได้มีตราประทับของมนุษย์ แต่มีตราประทับของพระเจ้า มนุษย์ไม่เคยย่อท้อต่อการทำให้ความหมายที่เรียบงายและชัดเจนในพระคัมภีร์เกิดความสับสน และทำให้มันขัดแย้งกับคำพยานในพระคัมภีร์เอง ดั่งเช่นเรือโนอาห์ที่ลอยอยู่กลางทะเลลึกที่มีคลื่นใหญ่ พระวจนะของพระเจ้ารอดผ่านพายุที่จ้องทำลาย ดั่งเหมืองทองคำและเงินที่ฝังอยู่ใต้ผิวดินให้ทุกคนที่ต้องการหาสมบัติขุดลงไป พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นเช่นเดียวกัน โดยมีขุมทรัพย์แห่งความจริงที่จะเปิดเผยออกมาให้แก่ผู้ที่แสวงหาอย่างจริงใจ ถ่อมตนและอธิษฐานสม่ำเสมอ พระเจ้าทรงออกแบบให้พระคัมภีร์เป็นบทเรียนสำหรับมนุษยชาติทั้งปวง ตั้งแต่วัยเด็ก วัยหนุ่มสาว และวัยผู้ใหญ่ และให้ศึกษาตลอดทุกเวลา พระองค์ประทานพระวจนะของพระองค์ให้แก่มนุษย์เพื่อสำแดงพระองค์เอง ความจริงทุกเรื่องที่ถูกค้นพบใหม่ก็เป็นการเปิดเผยถึงพระลักษณะใหม่ของพระเจ้าผู้ทรงเป็นผู้ประทานพระวจนะนั้น การศึกษาพระคัมภีร์เป็นวิถีทางที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้เพื่อนำมนุษย์ให้มามีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับพระผู้สร้างของตน และเพื่อให้เขาได้รับรู้พระประสงค์ของพระองค์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น พระคัมภีร์เป็นสื่อที่ใช้ติดต่อระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ {GC 69.2}GCth17 58.1
ในขณะที่ชาววอลเดนซิสยอมรับว่าความยำเกรงพระเจ้าเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญานั้น พวกเขาไม่ได้มองข้ามความสำคัญของการที่ต้องติดต่อกับโลกภายนอก กับความรู้ของมนุษยชาติและวิธีดำรงชีวิตที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเปิดความนึกคิดให้กว้างและว่องไว เยาวชนบางคนจากโรงเรียนที่อยู่บนภูเขาถูกส่งออกไปเล่าเรียนยังสถาบันการศึกษาในเมืองที่ประเทศฝรั่งเศสหรือประเทศอิตาลี ซึ่งมีสาขาวิชาให้เรียน ให้คิด และให้ค้นคว้าได้มากกว่าโรงเรียนในบ้านเกิดบนเทือกเขาแอลป์ เยาวชนที่ออกไปต้องพบกับการทดลอง พวกเขาเห็นความชั่ว พวกเขาเผชิญหน้ากับตัวแทนของซาตานที่เจ้าเล่ห์ ที่ผลักดันคำสอนนอกรีตที่แยบยลที่สุดและการหลอกลวงที่อันตรายที่สุด แต่การศึกษาที่พวกเขาได้รับตั้งแต่วัยเด็กนั้นมีคุณสมบัติที่เตรียมพวกเขาให้พร้อมสำหรับเรื่องทั้งหมดเหล่านี้ {GC 69.3}GCth17 58.2
ในโรงเรียนต่างๆ ที่พวกเขาเข้าไปเรียนนั้น พวกเขาไม่ยอมวางใจผู้ใด เสื้อผ้าของพวกเขาถูกจัดเตรียมไว้เพื่อเก็บซ่อนสมบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุด นั่นคือพระคัมภีร์อันล้ำค่าที่เขียนด้วยมือ เป็นผลงานที่พวกเขาลงแรงด้วยเวลาแรมเดือนแรมปี พวกเขานำคัมภีร์เหล่านี้ติดตัวไป และเมื่อสบโอกาสที่ไม่ก่อให้เกิดการสงสัย พวกเขาจะวางเอกสารบางส่วนอย่างระมัดระวังไว้ตามทางของผู้ที่ดูเหมือนว่าจะเปิดใจรับความจริง เยาวชนชาววอลเดนซิสได้รับการอบรมตั้งแต่อยู่บนตักของมารดาโดยมีเป้าหมายเช่นนี้ พวกเขาเข้าใจหน้าที่นี้และก็ยินดีทำด้วยความซื่อสัตย์ ในสถาบันการศึกษาเหล่านี้ มีคนรับเชื่ออย่างแท้จริง และบ่อยครั้งที่พบว่าหลักการนี้แทรกซึมไปทั่วทั้งโรงเรียน กระนั้น ผู้นำเปปาซีแม้จะไต่สวนอย่างรอบคอบที่สุด ก็ไม่อาจแกะรอยไปยังแหล่งที่มาของคำสอนที่เขาตราว่านอกรีตได้ {GC 70.1}GCth17 59.1
วิญญาณของพระคริสต์เป็นวิญญาณแห่งการประกาศ แรงกระตุ้นอันดับแรกของจิตใจที่บังเกิดใหม่คือความปรารถนาที่จะนำผู้อื่นมายังพระผู้ช่วยให้รอด คริสเตียนชาววูดัวซ์ก็มีวิญญาณเช่นนี้ พวกเขาตระหนักดีว่า พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้พวกเขาทำมากกว่าที่จะเป็นเพียงคนเก็บรักษาความจริงให้บริสุทธิ์ในคริสตจักรของตนเอง พวกเขามีหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์เพื่อนำความสว่างส่องไปให้แก่คนที่อยู่ในความมืด โดยฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่แห่งพระวจนะของพระเจ้า พวกเขามุ่งหวังที่จะทำลายแอกที่โรมยัดเยียดให้ไว้ ศาสนาจารย์ชาววูดัวซ์ถูกฝึกให้เป็นผู้ประกาศ ทุกคนที่ต้องการก้าวเข้าสู่งานรับใช้นี้จะถูกกำหนดให้ผ่านการเป็นนักประกาศเสียก่อน แต่ละคนจะต้องทำงานรับใช้ในพื้นที่งานประกาศพระกิตติคุณที่ใดที่หนึ่งเป็นเวลา 3 ปี ก่อนที่จะรับหน้าที่ดูแลโบสถ์สักแห่งในท้องที่ของตน งานการรับใช้นี้เรียกร้องให้มีการหักห้ามใจตนเองและการเสียสละตั้งแต่เริ่มต้นทำงาน นี่เป็นบทนำที่เหมาะสมสำหรับช่วงชีวิตของศาสนาจารย์ที่ทดสอบจิตวิญญาณของมนุษย์ เยาวชนที่ได้รับการเจิมให้รับงานศักดิ์สิทธิ์มองเห็นว่าที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขานั้นไม่ใช่ทรัพย์ศฤงคารและความรุ่งเรืองทางโลก แต่เป็นชีวิตของการตรากตรำ และภัยอันตราย และอาจจะต้องพลีชีพเพราะความเชื่อของเขา มิชชันนารีออกทำงานเป็นคู่ๆ ตามแบบอย่างที่พระเยซูส่งสาวกของพระองค์ออกไป มักจะมีผู้สูงวัยและมากด้วยประสบการณ์เคียงคู่ออกไปกับคนหนุ่ม เพื่อเป็นเพื่อนช่วยชี้แนะ และเป็นผู้ฝึกอบรมเขา และเขาจะต้องเชื่อฟังคำแนะนำ ผู้ร่วมงานทั้งสองนี้มักจะไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา แต่พวกเขามักจะพบกันเพื่ออธิษฐานและรับคำแนะนำ ด้วยวิธีนี้ จึงเกิดการเสริมสร้างความเชื่อของกันและกันให้เข้มแข็งขึ้น {GC 70.2}GCth17 59.2
การเปิดเผยเป้าหมายพันธกิจของตนจะนำความพ่ายแพ้มาอย่างแน่นอน ดังนั้น พวกเขาจึงปกปิดลักษณะแท้จริงของตน ศาสนาจารย์ทุกคนมีความรอบรู้เรื่องงานช่างฝีมือบางอย่างหรือมีวิชาชีพ และมิชชันนารีเหล่านี้ทำงานของตนภายใต้การอำพรางของอาชีพทางโลก โดยทั่วไปพวกเขาเลือกที่จะเป็นพ่อค้าหรือคนเร่ขายสินค้า “พวกเขานำผ้าไหม เครื่องประดับและสินค้าอื่นๆ ซึ่งในยุคนั้นหาซื้อยาก นอกจากในตลาดที่ห่างไกลออกไป และพวกเขาได้รับการต้อนรับในฐานะพ่อค้า แต่หากมาในฐานะมิชชันนารี พวกเขาจะถูกขับไล่ออกไป” Wylie เล่มที่ 1 บทที่ 7 ตลอดเวลาเหล่านี้ หัวใจของพวกเขาจะยกชูขึ้นไปยังพระเจ้าเพื่อทูลขอสติปัญญาที่จะนำเสนอให้เห็นถึงสมบัติที่มีค่ายิ่งกว่าทองคำหรือเพชรนิลจินดา พวกเขาซ่อนพระคัมภีร์ทั้งเล่มหรือบางส่วนไว้กับตัว และที่ใดที่โอกาสเอื้ออำนวย พวกเขาจะหันเหความสนใจของลูกค้ามายังหนังสือที่คัดลอกด้วยมือเหล่านี้ บ่อยครั้งจะพบคนที่ตื่นตัวสนใจต้องการอ่านพระวจนะของพระเจ้า และพระคัมภีร์บางตอนก็จะถูกมอบด้วยความยินดีให้แก่ผู้ที่ต้องการรับไว้ {GC 71.1}GCth17 59.3
งานของมิชชันนารีเหล่านี้เริ่มต้นขึ้นในที่ราบและหุบเขารอบๆ บริเวณภูเขาที่เขาอาศัยอยู่ และขยายกว้างออกไปเลยอาณาบริเวณเหล่านี้ พวกเขาเดินด้วยเท้าเปล่าและสวมใส่อาภรณ์เนื้อหยาบที่มีร่องรอยของการเดินทางเหมือนเช่นที่พระอาจารย์ของพวกเขาสวมใส่ พวกเขาเดินทางเข้าไปยังเมืองใหญ่ๆ และเจาะทะลุไปยังดินแดนที่ห่างไกล พวกเขาหว่านเมล็ดอันล้ำค่าไปทุกแห่งหน โบสถ์มากมายเกิดขึ้นตามทางที่พวกเขาเดินทางผ่านไป และเลือดของผู้พลีชีพก็เป็นพยานให้กับความเชื่อ เราจะเห็นดวงวิญญาณทั้งหมดที่เป็นผลงานที่คนเหล่านี้หว่านไว้ ถูกเก็บเกี่ยวอย่างเต็มที่ในวันแห่งพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้า กำลังมุ่งหน้าอย่างเงียบๆ และถูกปกปิดไว้จนเข้าไปในอาณาจักรของคริสเตียน และได้รับการต้อนรับด้วยความชื่นชมทั้งในบ้านและในจิตใจของผู้คน {GC 71.2}GCth17 60.1
สำหรับชาววอลเดนซิสแล้ว พระคัมภีร์ไม่เพียงแต่บันทึกสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดการต่อมนุษย์ในอดีตและเปิดเผยความรับผิดชอบและหน้าที่ของมนุษย์ในปัจจุบันเท่านั้น แต่พระคัมภีร์ยังเปิดเผยถึงภัยพิบัติและสง่าราศีที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย พวกเขาเชื่อว่าจุดจบของทุกสิ่งอยู่ไม่ไกลนัก และในขณะที่พวกเขาศึกษาพระคัมภีร์ด้วยการอธิษฐานและด้วยน้ำตานั้น พวกเขาได้รับความซาบซึ้งใจกับพระวจนะอันมีค่าเหล่านั้นมากยิ่งขึ้นและกับหน้าที่ที่พวกเขาจะต้องประกาศให้ผู้อื่นทราบความจริงแห่งการช่วยให้รอด พวกเขาเห็นแผนการไถ่ที่เปิดเผยอย่างชัดเจนในหนังสือศักดิ์สิทธิ์ และได้พบว่าความเชื่อของพวกเขาที่มีในพระเยซูทำให้พวกเขาได้รับการปลอบประโลมใจ ความหวังและสันติสุข เมื่อความกระจ่างทำให้พวกเขาเข้าใจ และทำให้จิตใจยินดีปรีดา พวกเขาปรารถนาที่จะให้ลำแสงนั้นส่องไปยังเหล่าคนที่ตกอยู่ภายใต้ความมืดจากคำสอนผิดๆ ของเปปาซี {GC 72.1}GCth17 60.2
พวกเขาเห็นว่าภายใต้การนำของพระสันตะปาปาและบาทหลวง ประชาชนมากมายกำลังพยายามหาทางหลุดพ้นจากบาปที่อยู่ในจิตวิญญาณของพวกเขาอย่างไร้ผลด้วยการทรมานร่างกาย คนเหล่านี้ถูกสอนให้พึ่งพิงในการทำดีเพื่อช่วยตัวเองให้รอด จึงทำให้พวกเขามองแต่ตัวเอง ความนึกคิดยึดติดอยู่แต่ในสภาพที่เต็มไปด้วยบาปของตนเอง มองเห็นตนเองตกอยู่ภายใต้พระพิโรธของพระเจ้า คนเหล่านี้จึงพยายามสร้างความเจ็บปวด ทรมานทั้งฝ่ายจิตวิญญาณและร่างกายตนเอง แต่กระนั้นก็ยังไม่พบทางบรรเทาทุกข์ ด้วยประการฉะนี้ ผู้ที่รู้สำนึกในใจจึงถูกหลักคำสอนของโรมผูกมัด คนนับพันละทิ้งมิตรสหายและญาติพี่น้องมาใช้ชีวิตในห้องเล็กๆ ภายในสำนักสงฆ์ คนนับพันพยายามแสวงหาสันติสุขให้กับความนึกคิดของเขาเองด้วยการอดอาหารและเฆี่ยนตีตัวเองอย่างทารุณอยู่บ่อยๆ สวดมนต์กลางดึก นอนราบกับก้อนหินที่อยู่ภายในห้องพักที่มืดทึบ ชื้น และเยือกเย็นเป็นเวลาหลายชั่วโมงอย่างทุกข์ทรมาน เดินทางไกลเพื่อแสวงบุญ การรับใช้โทษอย่างน่าอดสูและการทรมานอันน่ากลัว แต่การกระทำเช่นนี้ก็ไร้ผล พวกเขาถูกบีบบังคับด้วยความรู้สึกผิด และถูกหลอนด้วยความกลัวพระพิโรธของพระเจ้าที่จะคอยแก้แค้น คนมากมายต้องทนทุกข์ทรมานต่อไป จนกว่าสภาพธรรมชาติของร่างกายจะยอมแพ้ และคนเหล่านี้จึงลงไปยังหลุมศพโดยปราศจากลำแสงหรือความหวังใดๆ {GC 72.2}GCth17 60.3
ชาววอลเดนซิสปรารถนาที่จะยื่นอาหารแห่งชีวิตให้แก่จิตวิญญาณที่หิวโหยเหล่านี้ พวกเขาต้องการนำข่าวสารแห่งสันติสุขที่มีในพระสัญญาของพระเจ้ามาให้และชี้ให้คนเหล่านั้นเห็นว่าพระคริสต์ทรงเป็นความหวังเดียวที่เขาทั้งหลายจะได้รับความรอด คำสอนที่คนเหล่านั้นยึดถือที่ว่าการทำความดีชดเชยการล่วงละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้าได้นั้นเป็นคำสอนที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเท็จ การพึ่งในคุณความดีของมนุษย์กีดขวางภาพความรักอันไม่มีขอบเขตของพระคริสต์ เหตุที่พระเยซูต้องสิ้นพระชนม์เพื่อเป็นเครื่องบูชาของมนุษย์ก็เพราะเผ่าพันธุ์มนุษยชาติที่ล้มในบาปไม่อาจทำสิ่งใดเพื่อนำตนเองกลับไปคืนดีกับพระเจ้าได้ คุณความดีที่พระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงถูกตรึงบนกางเขนและทรงกลับเป็นขึ้นจากตายนั้นต่างหากคือรากฐานของความเชื่อคริสเตียน การที่วิญญาณจิตต้องพึ่งพิงในพระคริสต์จึงเป็นเรื่องจริง และความสัมพันธ์กับพระองค์จะต้องใกล้ชิด เหมือนดั่งแขนที่ติดอยู่กับร่างกาย หรือกิ่งที่ติดอยู่กับเถา {GC 73.1}GCth17 60.4
คำสอนของพระสันตะปาปาและของบาทหลวงชักนำมนุษย์ให้มองพระลักษณะของพระเจ้าและแม้กระทั่งของพระคริสต์เป็นความเกรี้ยวกราด หงุดหงิด และน่ากลัว พวกเขาทำให้พระผู้ช่วยให้รอดกลายเป็นผู้ที่ไม่เห็นใจมนุษย์ซึ่งตกอยู่ในบาปจนต้องใช้บาทหลวงและพวกนักบุญมาไกล่เกลี่ย ส่วนผู้ที่สติปัญญาได้รับความกระจ่างด้วยพระวจนะของพระเจ้า ต่างต้องการนำจิตวิญญาณของตนไปหาพระเยซู ผู้ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่เปี่ยมด้วยพระเมตตาและความรัก พระองค์ผู้ทรงยืนอ้าแขนออกรอคอยพวกเขา เชิญชวนทุกคนให้เข้ามาหาพระองค์พร้อมกับภาระแห่งบาป ความกังวล และความอ่อนล้าของพวกเขา คนเหล่านี้ปรารถนาที่จะกำจัดสิ่งกีดขวางซึ่งซาตานกองทับถมขึ้นจนมนุษย์ไม่อาจมองเห็นพระสัญญา และไม่อาจเข้าหาพระเจ้าโดยตรงเพื่อสารภาพบาปของพวกเขา และได้รับการอภัยโทษและสันติสุข {GC 73.2}GCth17 61.1
มิชชันนารีชาววอลเดนซิสเปิดเผยความจริงอันล้ำค่าของข่าวประเสริฐให้แก่สติปัญญาของผู้ใฝ่แสวงหาด้วยความกระตือรือร้น พวกเขานำข้อพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์บางตอนที่คัดลอกด้วยความเพียรพยายามออกมาอย่างระมัดระวัง เป็นความสุขยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาที่ได้ให้ความหวังใจแก่จิตวิญญาณที่รู้สำนึกและตกอยู่ในบาปที่มองเห็นพระเจ้าเป็นแค่ผู้ที่ผูกพยาบาท คอยตัดสินความ บ่อยครั้งที่พวกเขามักจะคุกเข่าพร้อมกับริมฝีปากที่สั่นเทาและน้ำตาคลอเต็มเบ้า เปิดเผยความหวังเดียวของคนบาปให้แก่พี่น้องของพวกเขา ด้วยวิธีนี้ แสงสว่างแห่งความจริงจึงเจาะทะลุเข้าสู่สติปัญญาที่มืดมนมากมาย ขับไล่เมฆหมอกแห่งความสิ้นหวังออกไป จนดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมส่องสว่างเข้าไปในจิตใจด้วยลำแสงแห่งการรักษาของพระองค์ จึงมีบ่อยครั้งที่ข้อพระคัมภีร์บางตอนถูกอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีกตามความประสงค์ของผู้ฟังซึ่งต้องการให้แน่ใจว่าได้ยินถูกต้องแล้ว โดยเฉพาะข้อความที่พวกเขาต้องการรับฟังซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยความกระตือรือร้นว่า “พระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ก็ชำระเราให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น” 1 ยอห์น 1:7 “โมเสสยกงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารอย่างไร บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้นอย่างนั้น เพื่อทุกคนที่วางใจพระองค์จะได้ชีวิตนิรันดร์” ยอห์น 3:14, 15 {GC 73.3}GCth17 61.2
มีคนมากมายไม่ยอมให้คำกล่าวอ้างของโรมมาหลอกได้ พวกเขามองว่าการที่มนุษย์หรือทูตสวรรค์จะมาทำหน้าที่ผู้ไกล่เกลี่ยแทนคนบาปนั้นเป็นเรื่องไร้สาระยิ่ง เมื่อแสงสว่างที่แท้จริงส่องมายังความคิด พวกเขาจึงร้องออกมาด้วยความเปรมปรีดิ์ว่า “พระคริสต์ทรงเป็นปุโรหิตของฉัน พระโลหิตเป็นเครื่องถวายบูชาของฉัน แท่นบูชาของพระองค์เป็นที่สารภาพบาปของฉัน” พวกเขานำตนเข้ามาพึ่งพิงในพระคุณความดีของพระเยซูอย่างเต็มที่ พร้อมกับพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า “ถ้าไม่มีความเชื่อแล้วจะไม่เป็นที่พอพระทัยเลย” ฮีบรู 11:6 “นามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้นั้น ไม่โปรดให้มีท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า” กิจการ 4:12 {GC 74.1} GCth17 61.3
ความมั่นใจในความรักของพระผู้ช่วยให้รอดนั้นดูเหมือนจะลึกซึ้งเกินกว่าที่บางจิตวิญญาณที่น่าสงสารและถูกมรสุมกระหน่ำเหล่านี้จะรับรู้ได้ การปลดปล่อยที่พวกเขาได้รับนั้นช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน ความสว่างเช่นนี้แหละที่ส่องลงมายังพวกเขา จนเคลิบเคลิ้มราวกับว่าพวกเขาไปอยู่ในสวรรค์แล้ว คนเหล่านี้วางมือของตนไว้ในพระหัตถ์ของพระคริสต์อย่างมั่นใจ เท้าของพวกเขายึดติดอยู่บนพระมหาศิลา ความกลัวตายทั้งปวงอันตรธานหายไป บัดนี้พวกเขาปรารถนาเรือนจำและโซ่ตรวน ถ้านั่นจะเป็นที่ถวายเกียรติพระนามของพระผู้ไถ่ของพวกเขา {GC 74.2}GCth17 62.1
ในที่ลับต่างๆ พระวจนะของพระเจ้าถูกนำขึ้นมาอ่าน ในบางครั้งก็อ่านให้จิตวิญญาณเพียงดวงเดียว บางครั้งก็อ่านให้กลุ่มเล็กๆ ที่แสวงหาแสงสว่างและความจริง บ่อยครั้งพวกเขาทำเช่นนี้ทั้งคืน ความอยากรู้และชื่นชมของผู้ฟังนั้นมีมาก จนบ่อยครั้งที่ผู้ฟังไม่ยอมให้ผู้นำข่าวแห่งความเมตตาหยุดอ่านจนกว่าพวกเขาจับใจความของข่าวดีแห่งการช่วยให้รอดได้ จะมีคำเช่นนี้พูดออกมาบ่อยๆ ว่า “พระเจ้าจะยอมรับของถวายของฉันหรือเปล่า พระองค์จะทรงยอมรับฉันไหม พระองค์จะทรงอภัยให้ฉันไหม” จึงมีคำตอบอ่านให้ฟังว่า “บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเราและเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก” มัทธิว 11:28 {GC 74.3} GCth17 62.2
เมื่อความเชื่อสัมผัสถึงพระสัญญาของพระเจ้า จะได้ยินคำตอบสนองด้วยความชื่นชมยินดีว่า “ ไม่ต้องไปแสวงบุญที่ต้องใช้เวลานานอีกแล้ว ไม่ต้องเดินทางที่แสนลำบากเพื่อไปยังศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ ฉันเข้ามาหาพระเยซูในสภาพที่เต็มไปด้วยบาปและไม่บริสุทธิ์อย่างที่ฉันเป็นอยู่ในเวลานี้ได้ และพระองค์จะไม่ทรงละเลยคำอธิษฐานของผู้ที่เสียใจกับบาป ‘ บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว’ บาปของฉันก็จะได้รับการอภัยด้วย” {GC 75.1}GCth17 62.3
ความปีติยินดีอันศักดิ์สิทธิ์จะเต็มล้นจิตใจ และคำสรรเสริญและโมทนาพระคุณแด่พระนามของพระเยซูจะแพร่สะพัดออกไป จิตวิญญาณที่มีความสุขเหล่านี้จะกลับไปยังบ้านของตนเพื่อกระจายแสงสว่าง เพื่อแบ่งปันแก่ผู้อื่นอีกครั้งแล้วครั้งเล่าตราบเท่าที่จะทำได้ถึงประสบการณ์ใหม่ที่พวกเขาได้พบหนทางแห่งชีวิตที่แท้จริง พระวจนะจากพระคัมภีร์นั้นมีอำนาจประหลาดและน่าเกรงขามซึ่งตรัสโดยตรงถึงจิตใจของผู้ที่แสวงหาความจริง เป็นพระสุรเสียงของพระเจ้าและนำความสำนึกมาสู่ผู้ที่ได้ยิน {GC 75.2}GCth17 62.4
ผู้นำข่าวแห่งความจริงจะเดินทางของเขาต่อไป แต่ลักษณะที่ถ่อมตน จริงใจ ตั้งใจและความศรัทธาอย่างลึกล้ำของเขามักจะถูกผู้คนกล่าวขานถึงเสมอ บ่อยครั้งที่ผู้ฟังไม่ได้ถามว่าเขามาจากไหนหรือกำลังจะไปไหน ในตอนแรก ผู้ฟังจะถูกความแปลกใจมาบดบัง และในตอนหลัง ความสำนึกในบุญคุณและชื่นชมยินดีเบี่ยงเบนความสนใจจนลืมซักถาม เมื่อถูกเชิญให้ไปที่บ้าน เขาจะตอบว่า ต้องไปเยี่ยมแกะที่หลงหายจากฝูง พวกผู้ฟังต่างถามกันว่า เป็นไปได้ไหมที่เขาจะเป็นทูตที่ลงมาจากสวรรค์ {GC 75.3}GCth17 63.1
มีหลายรายที่พวกผู้ฟังจะไม่ได้เห็นผู้นำข่าวแห่งความจริงนี้อีกเลย เขาอาจเดินทางไปยังดินแดนอื่น หรือชีวิตของเขากำลังเหี่ยวเฉาลงในคุกมืดที่ไม่มีใครรู้จัก หรืออาจเป็นไปได้ว่า กระดูกของเขาถูกเผาไหม้จนเหลือแต่เถ้าอยู่ในบริเวณที่เขาเป็นพยานเพื่อความจริง อย่างไรก็ตามคำพูดที่พวกเขาทิ้งไว้นั้นไม่อาจถูกทำลายไป คำพูดเหล่านั้นกำลังทำงานอยู่ในจิตใจของมนุษย์ ซึ่งทุกคนจะรู้ถึงผลงานที่ประเสริฐเหล่านี้อย่างเต็มที่ในวันพิพากษาที่จะมาถึงเท่านั้น {GC 75.4}GCth17 63.2
มิชชันนารีชาววอลเดนซิสกำลังรุกเข้าไปในอาณาจักรของซาตานและอำนาจของความมืดถูกปลุกให้ระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น อำนาจแห่งความมืดเฝ้าติดตามความพยายามทุกขั้นตอนที่ทำให้ความจริงรุดหน้าไป และจะกระตุ้นตัวแทนของมันให้เกิดความกลัว ผู้นำเปปาซีมองเห็นอันตรายอันใหญ่หลวงที่มีต่อเป้าหมายของตนซึ่งเกิดจากการทำงานของนักเดินทางผู้ถ่อมตนเหล่านี้ หากปล่อยให้แสงสว่างแห่งความจริงส่องไปโดยไม่ถูกขัดขวาง แสงนี้จะปัดเป่าเมฆแห่งความผิดอันหนาทึบซึ่งปิดล้อมประชาชนไว้ ความจริงนี้จะนำให้ความนึกคิดของมนุษย์ไปยังพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น และในที่สุดก็จะทำลายอำนาจของโรมไป {GC 76.1}GCth17 63.3
การที่มีคนเหล่านี้ซึ่งยึดถือความเชื่อของคริสตจักรยุคแรกเริ่มอยู่นั้นเป็นพยานอย่างต่อเนื่องถึงการละทิ้งความเชื่อของโรม ดังนั้น จึงปลุกความเกลียดชังและการกดขี่ข่มเหงครั้งรุนแรงที่สุดขึ้นมา การที่พวกเขาปฏิเสธไม่ยอมทิ้งพระคัมภีร์ก็เป็นความผิดที่โรมยอมไม่ได้ เธอตั้งใจทำลายพระคัมภีร์ให้หมดไปจากโลก ถึงตอนนี้ โรมเริ่มรณรงค์ให้ทุกคนเข้ามาร่วมทำสงครามที่น่ากลัวที่สุดต่อประชากรของพระเจ้าที่อาศัยอยู่บนภูเขา มีการจัดวางการไต่สวนตามเส้นทางของพวกเขา และภาพของอาเบลผู้บริสุทธิ์ที่ถูกฆ่าต่อหน้าฆาตรกรอย่างคาอินก็ปรากฏให้เห็นอยู่อย่างต่อเนื่อง {GC 76.2}GCth17 63.4
ครั้งแล้วครั้งเล่า ท้องนาอันอุดมถูกทิ้งให้รกร้าง ที่อยู่อาศัยและโบสถ์ของพวกเขาถูกทำลายไป จนกระทั่งในที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นทุ่งนาที่อุดมสมบูรณ์และบ้านเรือนของคนบริสุทธิ์และขยัน บัดนี้กลายเป็นที่รกร้าง เช่นเดียวกับสัตว์ป่าที่หิวกระหายจะเกิดดุร้ายมากขึ้นเมื่อได้ชิมเลือด ความดุดันของเหล่าผู้นิยมเปปาซีถูกจุดปะทุให้รุนแรงมากขึ้นด้วยความทรมานของเหยื่อของพวกเขา พยานเพื่อความเชื่อที่บริสุทธิ์มากมายถูกไล่ล่าข้ามภูเขาและลงมาตามที่ราบที่พวกเขาซ่อนตัว ขังตัวเองในป่าหนาทึบและตามยอดภูเขาสูง {GC 76.3}GCth17 64.1
ไม่มีข้อหาใดจะนำมากล่าวหาต่อการฝักใฝ่ศีลธรรมของคนกลุ่มนี้ได้ แม้ศัตรูของพวกเขายังประกาศว่า คนเหล่านี้รักความสงบ เรียบง่ายและเป็นพวกเคร่งศาสนา ความผิดรุนแรงของพวกเขาคือการไม่ยอมนมัสการพระเจ้าตามพระประสงค์ขององค์สันตะปาปา ความผิดนี้เอง พวกเขาจึงถูกกระหน่ำด้วยความอดสู การเหยียดหยาม การเยาะเย้ย และการทารุณกรรมด้วยวิธีต่างๆ เท่าที่มนุษย์หรือมารร้ายจะประดิษฐ์ขึ้นมา {GC 76.4}GCth17 64.2
เมื่อถึงจุดที่โรมมุ่งมั่นจะทำลายลัทธิที่เขาเกลียดชัง พระสันตะปาปาทรงตรากฎหมายขึ้นเพื่อปรักปรำคนเหล่านี้ว่าเป็นคนนอกรีตและต้องนำไปประหาร (โปรดดูภาคผนวก) พวกเขาไม่ได้ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนเกียจคร้านหรือคนไม่ซื่อสัตย์หรือเป็นคนไร้ระเบียบ แต่ถูกตราว่ามีลักษณะเป็นคนที่ศรัทธาแก่กล้าและน่านับถือ เที่ยวไปหลอกลวง “ลูกแกะจากฝูงแกะที่แท้จริง” ดังนั้น พระสันตะปาปาจึงทรงตราคำสั่งถึง “ลัทธิที่เลวร้ายซึ่งมุ่งร้ายและเป็นที่น่ารังเกียจ” หากพวกเขา “ยังคงปฏิเสธไม่ยอมกลับตัว ให้บดขยี้ได้ดั่งงูพิษ” Wylie เล่มที่ 16 บทที่ 1 ผู้มีอำนาจที่ออกคำสั่งนี้เคยคาดคิดบ้างไหมว่า เขาจะต้องกลับมาพบกับคำพูดเหล่านั้นอีกครั้งหนึ่ง พวกเขาเคยรู้หรือไม่ว่าคำพูดเหล่านี้ถูกบันทึกไว้ในสมุดบันทึกแห่งสวรรค์ที่พวกเขาจะต้องเผชิญหน้าในวันพิพากษา พระเยซูตรัสว่า “ซึ่งพวกท่านได้ทำกับคนใดคนหนึ่งที่เล็กน้อยที่สุดในพี่น้องของเรานี้ ก็เหมือนทำกับเราด้วย” มัทธิว 25:40 {GC 77.1}GCth17 64.3
พระบัญชาของพระสันตะปาปานี้เรียกร้องให้สมาชิกคริสตจักรทุกคนเข้าร่วมสงครามต่อสู้กับคนนอกรีตเหล่านี้ เพื่อเป็นแรงจูงใจแก่ผู้ที่เข้าร่วมในภารกิจอันทารุณโหดร้ายนี้ ผู้ที่เข้าร่วมจะ “หลุดพ้นจากความผิดและการลงโทษทางศาสนาทั้งสิ้น ทั้งบาปทั่วไปและบาปที่เฉพาะเจาะจง และทุกคนที่เข้าร่วมจะหลุดพ้นจากคำสาบานที่เคยทำไว้ ทั้งยังมีสิทธิ์อันชอบธรรมในการเป็นเจ้าของสมบัติที่ได้มาอย่างไม่ถูกกฎหมาย และพวกเขายังได้รับสัญญาว่าบาปทั้งหมดของพวกเขาจะได้รับการอภัยถ้าพวกเขาฆ่าคนนอกรีตได้ คำสั่งนี้ให้ยกเลิกสัญญาทั้งหมดที่เคยทำไว้กับชาววอลเดนซิส สั่งให้คนในท้องถิ่นทิ้งพวกเขา ห้ามทุกคนให้ความช่วยเหลือใดๆ แก่พวกเขา และให้อำนาจทุกคนที่จะริบเอาสมบัติของพวกเขาไปได้” Wylie, เล่มที่ 16 บทที่ 1 เอกสารชิ้นนี้เปิดเผยอย่างชัดเจนถึงวิญญาณที่อยู่เบื้องหลังฉากเหล่านี้ เสียงที่ได้ยินนั้นคือเสียงคำรามของพญานาค ไม่ใช่พระสุรเสียงของพระคริสต์ {GC 77.2}GCth17 64.4
ผู้นำของระบอบเปปาซีไม่ยอมปฏิบัติตนตามมาตรฐานยิ่งใหญ่ในพระบัญญัติของพระเจ้า แต่สร้างมาตรฐานขึ้นตามความต้องการของตนเอง และตั้งใจบังคับทุกคนให้ทำตามมาตรฐานนี้ เพราะนี่เป็นความต้องการของโรม กฎหมายที่น่ากลัวที่สุดถูกตราออกมาแล้ว บาทหลวงและพระสันตะปาปาที่คดโกงและหมิ่นประมาทพระเจ้าเริ่มทำงานที่ซาตานกำหนดให้พวกเขาทำ ความเมตตาปรานีไม่มีในอุปนิสัยของพวกเขา วิญญาณเดียวกับที่ตรึงพระคริสต์บนกางเขนและฆ่าอัครสาวกทั้งหลาย วิญญาณเดียวกับที่ขับเคลื่อนจักรพรรดิเนโรผู้กระหายเลือดให้กำจัดผู้เชื่อที่ซื่อสัตย์ในสมัยนั้น เป็นวิญญาณเดียวกับที่กำลังทำงานกำจัดผู้ที่พระเจ้าทรงรักให้หมดไปจากโลกนี้ {GC 77.3}GCth17 65.1
เป็นเวลาหลายศตวรรษที่การกดขี่ข่มเหงเช่นนี้เข้ามาเยือนผู้ที่ยำเกรงพระเจ้า พวกเขาอดทนด้วยความขันติและความมั่นคงเพื่อถวายเกียรติแด่พระผู้ไถ่ โดยที่ไม่คำนึงถึงสงครามปราบปรามและการสังหารโหดที่ไร้มนุษยธรรมซึ่งกระทำต่อพวกเขา คนเหล่านี้ยังคงส่งมิชชันนารีออกไปเพื่อกระจายความจริงอันล้ำค่า พวกเขาถูกตามล่าจนตาย แต่กระนั้น เลือดของพวกเขารดลงบนเมล็ดที่ถูกหว่านออกไป และบังเกิดผลออกมาอย่างไม่เคยสร้างความผิดหวัง ด้วยประการฉะนี้ ชาววอลเดนซิสเป็นพยานให้พระเจ้าเป็นเวลาหลายศตวรรษก่อนที่ลูเธอร์จะเกิด พวกเขากระจายไปอยู่ในหลายประเทศ พวกเขาเพาะเมล็ดของการปฏิรูปทางศาสนาที่เริ่มต้นขึ้นในสมัยของไวคลิฟ แผ่ขยายออกไปและฝังลึกในสมัยของลูเธอร์ และจะถูกดำเนินการต่อไปจนถึงคราสิ้นยุคโดยผู้ที่ยอมทนทุกข์ในทุกสิ่ง เพื่อ “พระวจนะของพระเจ้าและคำพยานของพระเยซู” วิวรณ์ 1:9 {GC 78.1}GCth17 65.2