Loading...
Larger font
Smaller font
Copy
Print
Contents
สงครามครั้งยิ่งใหญ่ - Contents
  • Results
  • Related
  • Featured
No results found for: "".
  • Weighted Relevancy
  • Content Sequence
  • Relevancy
  • Earliest First
  • Latest First

    คำนำของผู้ประพันธ์

    ก่อนบาปเข้ามาในโลก อาดัมมีความสุขกับการสื่อสัมพันธ์กับพระผู้ทรงสร้างของเขาโดยตรง แต่เมื่อมนุษย์เลือกแยกตนเองออกห่างไปจากพระเจ้าโดยการฝ่าฝืนพระบัญชาของพระองค์ สิทธิพิเศษสูงสุดของมนุษยชาติจึงถูกตัดขาดสะบั้นไป อย่างไรก็ตาม โดยแผนการแห่งความรอด พระองค์ยังคงเปิดทางให้มนุษย์ผู้อาศัยบนโลกนี้มีโอกาสติดต่อกับสวรรค์ พระเจ้ายังคงสื่อกับมนุษย์ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ และความกระจ่างจากสวรรค์ก็ยังคงถ่ายทอดมาสู่ชาวโลกโดยผ่านทางผู้รับใช้จำนวนหนึ่งที่พระองค์ทรงเลือก “มนุษย์กล่าวคำซึ่งมาจากพระเจ้าตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดลใจเขา” 2 เปโตร 1:21 {GC v.1} GCth17 6.1

    ระหว่างสองพันห้าร้อยปีแรกของประวัติศาสตร์มนุษย์ ไม่มีผลงานเขียนที่เปิดเผยเรื่องของพระเจ้ากับมนุษย์ ผู้ที่พระเจ้าสอนถ่ายทอดความรู้ให้แก่คนอื่นๆ และส่งต่อจากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูกเป็นทอดๆ ไป มนุษย์มาเริ่มต้นรู้จักการใช้ภาษาเขียนในยุคของโมเสส มีการจารึกพระวจนะที่ได้รับการทรงดลใจลงเป็นชุด ผลงานเช่นนี้ดำเนินต่อเนื่องเรื่อยมาเป็นเวลาหนึ่งพันหกร้อยกว่าปี----จากโมเสส ผู้จารึกประวัติศาสตร์การทรงสร้างและพระบัญญัติต่างๆ จวบจนถึงอัครทูตยอห์น ผู้บันทึกสัจธรรมล้ำค่าที่สุดแห่งพระกิตติคุณ {GC v.2}GCth17 6.2

    พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้ประพันธ์พระคัมภีร์ แต่ใช้มือของมนุษย์เป็นผู้เขียน และด้วยความหลากหลายของรูปแบบการเขียนของพระธรรมแต่ละฉบับ ซึ่งบ่งบอกถึงอุปนิสัยอันหลากหลายของผู้เขียนแต่ละท่าน สัจธรรมทั้งปวงที่เปิดเผยในพระคัมภีร์ล้วน “ได้รับการดลใจจากพระเจ้า” 2 ทิโมธี 3:16 กระนั้น ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นตามคำพูดของมนุษย์ พระเจ้าทรงสำแดงความกระจ่างเหล่านี้สู่สติปัญญาและจิตใจของมนุษย์ผู้รับใช้ของพระองค์โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ พระองค์ประทานมาให้ในความฝัน ในนิมิต ในสัญลักษณ์และภาพ และผู้ที่ถูกเลือกให้รับความกระจ่างเหล่านี้บันทึกความรู้นี้เป็นภาษามนุษย์ {GC v.3}GCth17 6.3

    ส่วนพระบัญญัติสิบประการนั้น พระเจ้าเองเป็นผู้ตรัส และทรงจารึกด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง พระบัญญัติสิบประการจึงเป็นของพระเจ้า ไม่ใช่เป็นการประพันธ์ขึ้นของมนุษย์ แต่พระคัมภีร์นั้น เป็นสัจธรรมที่พระเจ้าประทานให้แต่อธิบายด้วยภาษาของมนุษย์ เป็นการร่วมมือของพระเจ้ากับมนุษย์ คุณลักษณะเช่นนี้ปรากฏให้เห็นในพระลักษณะนิสัยของพระคริสต์ พระองค์ทรงเป็นพระบุตรพระเจ้าและทรงเป็นบุตรมนุษย์ ดังนั้น เป็นความจริงเหมือนเช่นพระคริสต์ พระคัมภีร์เป็น “พระวาทะ ทรงเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา” ยอห์น 1:14 {GC v.4}GCth17 6.4

    หนังสือแต่ละเล่มของพระคัมภีร์นำเสนอให้เห็นรูปแบบที่แตกต่างกัน และเปิดเผยเรื่องราวอันหลากหลายอันเนื่องจากการบันทึกที่เกิดขึ้นในยุคสมัยที่แตกต่างกันอันยาวนาน โดยผู้ที่อยู่ในสถานะและมีอาชีพที่ไม่เหมือนกัน แต่ละคนใช้สำนวนเขียนที่ไม่เหมือนกัน นำเสนอความจริงที่เหมือนกันโดยคนหนึ่งย้ำเน้นเรื่องหนึ่งให้ประทับใจกว่าอีกคนหนึ่ง และเมื่อมีผู้เขียนหลายท่านที่เล่าเรื่องเดียวกัน แต่อยู่ในสถานการณ์และความสัมพันธ์กับเหตุการณ์ที่ต่างกัน คนที่ไม่ตั้งใจอ่านก็อาจมีอคติว่าเรื่องเดียวกันที่บันทึกนี้ขัดแย้งหรือตรงข้ามกัน แต่สำหรับผู้อ่านที่ใช้สติปัญญา ให้ความเคารพ และมีจิตใจที่โปร่งใสแล้ว จะเข้าใจถึงเบื้องลึกแห่งความสอดคล้องกันอย่างน่าอัศจรรย์ {GC vi.1}GCth17 7.1

    ด้วยการนำเสนอผ่านผู้เขียนหลายท่าน ความจริงของพระคัมภีร์จึงนำเสนอออกมาในรูปแบบที่ต่างกัน ผู้เขียนคนหนึ่งรับความประทับใจกับตอนหนึ่งของเรื่อง เขาจึงหยิบตอนนี้ซึ่งตรงกับประสบการณ์หรือความเข้าใจและความชื่นชอบของตนมาเล่า ส่วนอีกคนหนึ่งนำตอนอื่นของเรื่องเดียวกันมาเขียน แต่ทั้งหมดต่างก็อยู่ภายใต้การทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้นำเรื่องที่ประทับใจตนเองมากที่สุดมาเล่า ดังนั้น แต่ละคนอาจนำแง่มุมหนึ่งของข้อเท็จจริงมาเสนอ แต่ข้อเท็จจริงองค์รวมนั้นมีความสอดคล้องกันอย่างครบถ้วน และสัจธรรมทั้งปวงที่พระคัมภีร์สำแดงให้เห็นต่างก็ประสานเป็นเนื้อเดียวกันอย่างสมบูรณ์ นำมาประยุกต์ใช้ได้อย่างดียิ่งเพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ในทุกสถานการณ์และในทุกประสบการณ์ของชีวิต {GC vi.2}GCth17 7.2

    พระเจ้าทรงพอพระทัยที่จะสื่อสัจธรรมของพระองค์มาสู่ชาวโลกโดยผ่านตัวแทนที่เป็นมนุษย์ และโดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์พระองค์เองทรงคัดสรรมนุษย์และเจิมตั้งคนที่มีคุณสมบัติเพื่อทำพระราชกิจนี้ พระวิญญาณทรงนำสมองของพวกเขาให้เลือกสิ่งที่ควรพูดและเขียนในสิ่งที่ควรเขียน สมบัติล้ำค่านี้ทรงมอบให้มนุษย์ที่ทรงสร้างมาจากผงคลี แต่กระนั้นก็ยังเป็นสมบัติที่มาจากพระเจ้า คำพยานเหล่านี้ถูกถ่ายทอดผ่านคำอธิบายที่ไม่สมบูรณ์แบบของภาษามนุษย์ แต่กระนั้นก็ยังเป็นคำพยานของพระเจ้า และผู้ฟังที่เป็นบุตรธิดาซึ่งอยู่ในโอวาทของพระเจ้าต่างสัมผัสถึงพระสิริแห่งฤทธานุภาพของพระองค์อันเปี่ยมด้วยพระคุณและสัจธรรม {GC vi.3}GCth17 7.3

    ในพระวจนะของพระเจ้า พระองค์ทรงมอบความเข้าใจที่จำเป็นสำหรับความรอดแก่มนุษย์แล้ว มนุษย์ต้องรับพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์นี้ว่าเป็นการสำแดงพระประสงค์ของพระองค์ซึ่งมีสิทธิอำนาจและไม่ผิดพลาด พระวจนะเหล่านี้เป็นมาตรฐานวัดอุปนิสัย เปิดเผยถึงหลักข้อเชื่อและการทดสอบประสบการณ์ “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การแก้ไขสิ่งผิด และการอบรมในความชอบธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะมีความสามารถและพรักพร้อมเพื่อการดีทุกอย่าง” 2 ทิโมธี 3:16, 17 {GC vii.1} GCth17 7.4

    กระนั้น แม้ว่าเป็นข้อเท็จจริงที่พระเจ้าทรงสำแดงพระประสงค์ของพระองค์แก่มนุษย์โดยผ่านทางพระวจนะของพระองค์แล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์ไม่จำเป็นต้องมีพระวิญญาณบริสุทธิ์มาสถิตกับเราและนำเราอีกต่อไป ในทางกลับกัน พระผู้ช่วยให้รอดของเราทรงสัญญาที่จะส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์มาเปิดเผยพระวจนะแก่ผู้รับใช้ของพระองค์เพื่ออธิบายและเพื่อนำคำสอนของพระองค์ไปประยุกต์ใช้ และเนื่องจากพระคัมภีร์เกิดขึ้นจากการดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงเป็นไปไม่ได้ที่คำสอนของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะขัดกับพระวจนะ {GC vii.2} GCth17 7.5

    พระเจ้าไม่ได้ประทานหรือแม้แต่มอบหมายพระวิญญาณบริสุทธิ์มาทำหน้าที่แทนพระคัมภีร์ เพราะพระคัมภีร์กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นเกณฑ์มาตรฐานที่ใช้ทดสอบคำสอนและประสบการณ์ทั้งปวง อัครทูตยอห์นกล่าวว่า “ท่านที่รักทั้งหลาย อย่าเชื่อทุกๆ วิญญาณ แต่จงพิสูจน์วิญญาณนั้นๆ ว่ามาจากพระเจ้าหรือไม่ เพราะว่ามีผู้เผยพระวจนะเท็จจำนวนมากได้ออกมาในโลก” 1 ยอห์น 4:1 และผู้เผยพระวจนะอิสยาห์เคยกล่าวว่า “ไปดูธรรมบัญญัติและถ้อยคำพยาน แน่ทีเดียวคนที่ไม่พูดเช่นข้าพเจ้าก็จะเป็นคนที่ไม่มีรุ่งอรุณเลย” อิสยาห์ 8:20 {GC vii.3}GCth17 8.1

    มีคนกลุ่มหนึ่ง ที่สำคัญตนผิดว่าได้รับความแจ่มแจ้งแล้ว มีวิชาความรู้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพระวจนะของพระเจ้าเพื่อการทรงนำ ต่างประณามพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างแรงกล้า คนเหล่านี้หลงคิดว่าสิ่งที่ตนเองเข้าใจนั้นเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้าในวิญญาณจิตของตน แต่วิญญาณที่ควบคุมคนนี้ไม่ใช่วิญญาณของพระเจ้า การคล้อยตามความเข้าใจที่ผิดๆ เหล่านี้ ซึ่งมองข้ามพระคัมภีร์ไป จะพาคนเหล่านี้ไปสู่ความสับสน ถูกหลอกและถูกทำลายเท่านั้น เป็นการรับใช้แผนของฝ่ายชั่ว เนื่องจากพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์มีความสำคัญยิ่งต่อคริสตจักรของพระคริสต์ จึงเป็นเครื่องมือหนึ่งของซาตานเพื่อสร้างความเกลียดชังแก่พระวิญญาณบริสุทธิ์ และทำให้ประชากรของพระเจ้าละเลยแหล่งพละกำลังที่องค์พระผู้เป็นเจ้าเองทรงเป็นผู้จัดเตรียมให้ {GC vii.4} GCth17 8.2

    เพื่อให้สอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า พระวิญญาณของพระองค์ยังคงต้องสถิตอยู่ตลอดระยะเวลาการประกาศพระกิตติคุณนี้ ระหว่างยุคต่างๆ ที่พระคัมภีร์ทั้งภาคพันธสัญญาเดิมและภาคพันธสัญญาใหม่กำลังเขียนอยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้หยุดการสื่อความกระจ่างแก่ปัญญาของแต่ละบุคคลซึ่งพระเจ้าทรงเรียกนอกเหนือจากที่บันทึกไว้ในพระธรรมแต่ละเล่มของพระคัมภีร์เลย ในพระคัมภีร์ก็ยังบันทึกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์มาถ่ายทอดคำเตือน คำชี้แนะและคำแนะนำให้แก่มนุษย์อันเกี่ยวกับเรื่องของการจัดเตรียมพระคัมภีร์ มีการกล่าวถึงผู้เผยพระวจนะในยุคต่างๆ ซึ่งคำพูดของท่านเหล่านั้นมิได้มีการบันทึกไว้ ในลักษณะเดียวกัน เมื่องานรวบรวมพระธรรมต่างๆ ของพระคัมภีร์เสร็จสิ้นแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ยังคงต้องดำเนินพระราชกิจของพระองค์ต่อไปในการให้ความกระจ่าง เตือน และปลอบประโลมบุตรธิดาทั้งหลายของพระเจ้า {GC viii.1}GCth17 8.3

    พระเยซูทรงสัญญากับสาวกทั้งหลายของพระองค์ว่า “เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้กับพวกท่าน เพื่อจะอยู่กับท่านตลอดไป” “เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล......และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น” ยอห์น 14:26; 16:13 พระคัมภีร์สอนเราอย่างชัดเจนว่าพระสัญญาเหล่านี้ แม้จะเกิดขึ้นในสมัยของสาวกทั้งหลาย แต่ก็ครอบคลุมถึงคริสตจักรของพระคริสต์ในทุกยุคสมัยเช่นกัน พระผู้ช่วยให้รอดประทานความมั่นใจให้กับผู้ติดตามว่า “เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไปจนกว่าจะสิ้นยุค” มัทธิว 28:20 และอัครทูตเปาโลประกาศว่าของประทานและการสำแดงต่างๆ ของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นพระองค์ประทานแก่คริสตจักร “เพื่อเตรียมธรรมิกชนสำหรับการปรนนิบัติและการเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อและในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า บรรลุถึงความเป็นผู้ใหญ่ คือโตเต็มถึงขนาดความบริบูรณ์ของพระคริสต์” เอเฟซัส 4:12, 13 {GC viii.2}GCth17 8.4

    อัครทูตอธิษฐานเผื่อชาวเมืองเอเฟซัสว่า “ขอพระเจ้าของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราคือพระบิดาผู้ทรงพระสิริ ทรงให้ท่านทั้งหลายมีจิตใจที่ประกอบด้วยปัญญาและการสำแดงเพื่อท่านจะรู้จักพระองค์ ขอให้ตาใจของพวกท่านสว่างขึ้นเพื่อจะได้รู้ว่าพระองค์ประทานความหวังอะไรแก่ท่านในการทรงเรียกพวกท่านนั้น..... และรู้ว่าฤทธานุภาพของพระองค์ยิ่งใหญ่มากมายเพียงไรสำหรับเราที่เชื่อนั้น เป็นฤทธิ์เดชเดียวกับการทำกิจอันทรงอานุภาพและทรงพลังของพระองค์” เอเฟซัส 1:17 — 19 พระราชกิจของพระวิญญาณในการให้ความกระจ่าง และความเข้าใจสิ่งล้ำลึกในพระวจนะอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าเป็นของประทานที่อัครทูตเปาโลทูลขอสำหรับคริสตจักรในเมืองเอเฟซัส {GC ix.1} GCth17 8.5

    หลังจากที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เปิดเผยการอัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ในวันเพ็นเทคอสต์แล้ว อัครสาวกเปโตรหนุนใจประชาชนให้สำนึกผิดและรับบัพติศมาในพระนามของพระคริสต์ เพื่อชำระบาป และเขากล่าวว่า “เพื่อพระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปของท่านทั้งหลาย แล้วพวกท่านจะได้รับของประทานคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะว่าพระสัญญานั้นตกแก่ท่านทั้งหลายกับลูกหลานของพวกท่านด้วย และแก่ทุกคนที่อยู่ไกล คือทุกคนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราทรงเรียกให้มาเฝ้า” กิจการ 2:38, 39 {GC ix.2} GCth17 9.1

    ในเหตุการณ์ต่อเนื่องอย่างใกล้ชิดกับวันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า พระองค์ทรงสัญญาผ่านทางผู้เผยพระวจนะโยเอลว่าจะประทานพระวิญญาณของพระองค์แก่เราเป็นกรณีพิเศษ โยเอล 2:28 ส่วนหนึ่งของคำพยากรณ์นี้เกิดขึ้นแล้วในวันเพ็นเทคอสต์ และอีกส่วนหนึ่งจะเกิดขึ้นอย่างบริบูรณ์ด้วยการสำแดงอันประกอบด้วยพระคุณในวันสิ้นสุดของการปิดฉากงานการประกาศพระกิตติคุณ {GC ix.3}GCth17 9.2

    ความขัดแย้งยิ่งใหญ่ระหว่างความดีกับความชั่วจะทวีความเข้มข้นยิ่งขึ้นในช่วงยุคสุดท้าย ในทุกยุคทุกสมัย ซาตานแสดงความเคียดแค้นต่อคริสตจักรของพระเจ้ามาตลอด และพระเจ้าประทานพระคุณและพระวิญญาณของพระองค์มาสถิตอยู่เหนือประชากรของพระองค์เพื่อเสริมกำลังให้ยืนหยัดต่อต้านมารร้าย ยามใดที่สาวกทั้งหลายของพระคริสต์ออกเผยแพร่พระกิตติคุณสู่ชาวโลกและบันทึกเรื่องราวสำหรับยุคต่อๆ มา พวกเขาจะได้รับมอบปัญญาของพระวิญญาณเพื่อเป็นต้นทุนของตน แต่เมื่อคริสตจักรเข้าใกล้สู่ระยะสุดปลายแห่งการปลดปล่อย ซาตานจะยิ่งโหมกระหน่ำความรุนแรงของมันมาสู่มนุษย์ มันลงมา “ด้วยความเดือดดาลอย่างยิ่ง เพราะมันรู้ว่าเวลาของมันมีน้อย” วิวรณ์ 12:12 มันจะโจมตี “พร้อมกับการอิทธิฤทธิ์ทุกอย่าง ทั้งหมายสำคัญ และการอัศจรรย์จอมปลอม” 2 เธสะโลนิกา 2:9 เป็นเวลาหกพันปีที่จอมบงการตนนี้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยครองตำแหน่งสูงสุดของเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้าเฝ้าเพียรพยายามก่อการล่อลวงและการทำลาย ทักษะกลเม็ดแบบซาตานรวมทั้งความเลวทรามโหดเหี้ยมทุกรูปแบบที่มันพัฒนามาตลอดทุกยุคสมัยจะถูกงัดออกมาเล่นงานประชากรทั้งหลายของพระเจ้าในการห้ำหั่นกันในยุคสุดท้ายนี้ และในช่วงเวลาสำคัญอันตรายนี้ผู้ติดตามพระคริสต์ต้องป่าวประกาศคำเตือนการเสด็จมาครั้งที่สองขององค์ให้แก่ชาวโลก และจะต้องเตรียมกลุ่มคน “ปราศจากมลทินและข้อตำหนิ” ให้พร้อม 2 เปโตร 3:14 เพื่อยืนต่อเบื้องพระพักตร์ของพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จมาในครั้งนี้ สำหรับคริสตจักรในยุคสุดท้ายนี้ การได้รับมอบพระคุณและพลังเป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่ได้ด้อยความสำคัญกว่าในยุคของเหล่าอัครสาวก {GC ix.4}GCth17 9.3

    โดยผ่านการสำแดงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ภาพเหตุการณ์ของความขัดแย้งอันยาวนานระหว่างความดีและความชั่วถูกเปิดเผยให้ผู้ประพันธ์หนังสือเล่มนี้เห็น ครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าพเจ้าได้รับอนุญาตให้เห็นการความจัดแย้งยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นในยุคต่างๆ ของพระคริสต์ผู้ทรงเป็นเจ้าชายแห่งชีวิต ทรงเป็นต้นกำเนิดของความรอด กับซาตาน เจ้าชายแห่งความชั่ว ต้นกำเนิดของบาปและเป็นผู้นำการล่วงละเมิดพระบัญญัติศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า ความเป็นปฏิปักษ์ของซาตานที่มีต่อพระคริสต์เปิดฉากต่อสู้กับผู้ติดตามของพระองค์ ความเกลียดชังเดียวกันที่มีต่อหลักการของพระบัญญัติของพระเจ้า นโยบายเดียวกันของการหลอกลวงยังคงมีรูปแบบเหมือนเดิม เพื่อเอาความผิดมาแทนที่ความจริง เอาบัญญัติของมนุษย์มาแทนที่พระบัญญัติของพระเจ้า และนำมนุษย์ให้กราบไหว้สิ่งทรงสร้างไม่ใช้พระผู้สร้าง เรื่องทั้งหมดนี้ ย้อนกลับไปยังประวัติศาสตร์ของอดีต เมื่อซาตานพยายามแสดงพระลักษณะของพระเจ้าผิดไปเพื่อให้มนุษย์เข้าใจพระผู้ทรงสร้างผิด ทำให้มนุษย์เก็บถนอมความคิดเรื่องพระผู้สร้างในทางที่ผิด จนกลัวและเกลียดชังพระองค์แทนที่จะรักพระองค์ มันลงแรงยกเลิกบทบัญญัติของพระเจ้าเพื่อทำให้มนุษย์คิดว่าตนเองเป็นไทพ้นจากข้อกำเนิดของพระบัญญัติ และกดขี่ข่มเหงต่อผู้ที่กล้าขัดขืนกลลวงของมันมาอย่างต่อเนื่องไม่ลดละตลอดทุกยุคทุกสมัย เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยของประวัติศาสตร์ของบรรพชน ผู้เผยพระวจนะและอัครสาวก ผู้ยอมพลีชีพเพื่อความเชื่อและนักปฏิรูปศาสนาทั้งหลาย {GC x.1}GCth17 10.1

    ในความขัดแย้งยิ่งใหญ่ช่วงสุดท้าย ซาตานใช้นโยบายเดียวกัน แสดงออกถึงวิญญาณและการกระทำเดียวกันเพื่อบรรลุให้ถึงเป้าหมายเดียวกันของยุคก่อนๆ สิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วจะเกิดขึ้นอีก นอกจากว่าการต่อสู่ที่จะมานั้นจะห้ำหั้นอย่างรุนแรงเข้มข้นแบบที่ชาวโลกไม่เคยประสบมาก่อน กลลวงของซาตานจะเพิ่มความเฉียบแหลม การโจมตีของมันจะยิ่งดุเดือด หากเป็นไปได้ มันจะล่อลวงผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลง มาระโก. 13:22 {GC xi.1}GCth17 10.2

    ในขณะที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงเปิดให้ข้าพเจ้าเข้าใจความจริงยิ่งใหญ่ในพระวจนะของพระองค์และเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งในอดีตและที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ข้าพเจ้าได้รับบัญชาให้เอาสิ่งที่เปิดเผยไปบอกให้แก่คนอื่น เพื่อแกะรอยประวัติศาสตร์ความขัดแย้งในยุคของสมัยก่อนและนำเสนอเพื่อให้มองเห็นความขัดแย้งในอนาคตที่กำลังจะมาถึง เพื่อเป้าหมายนี้ ดิฉันลงแรงเลือกและรวบรวมเหตุการณ์ต่างๆ ในประวัติศาสตร์ของคริสตจักรด้วยจุดประสงค์เพื่อเปิดเผยความจริงยิ่งใหญ่ของการทดสอบของแต่ละยุคที่ให้ไว้กับชาวโลก ที่ไปกระตุ้นความโกรธแค้นของซาตานและความเป็นศัตรูกันกับคริสตจักรที่รักโลก เป็นความจริงที่เก็บถนอมไว้ “พวกเขาไม่ได้รักตัวกลัวตาย” {GC xi.2} GCth17 10.3

    ในเรื่องที่บันทึกไว้นี้ เราพอจะเห็นได้ถึงความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นอยู่ต่อหน้าเรา ให้คำนึงถึงเรื่องเหล่านี้ภายใต้แสงสว่างที่ส่องมาจากพระวจนะของพระเจ้าและการทรงสำแดงของพระวิญญาณของพระองค์ เราจะมองเห็นกลลวงของฝ่ายความชั่วถูกกระชากหน้ากากออกมา และภัยอันตรายยิ่งใหญ่ที่เราต้องคอยหลีกหนีหากต้องการ “เป็นคนที่ปราศจาคตำหนิ” วิวรณ์ 14:5 เมื่อมาปรากฏตัวอยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้าเมื่อพระองค์เสด็จมา {GC xi.3} GCth17 10.4

    เหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่บ่งบอกถึงความเจริญก้าวหน้าของการปฏิรูปให้ยุคอดีตเป็นเรื่องของประวัติศาสตร์แล้ว เป็นเรื่องที่รู้จักกันดีและเป็นที่ยอมรับของชาวโปรเตสแตนต์ เป็นความจริงที่ไม่มีใครปฏิเสธ ประวัติศาสตร์ส่วนนี้ที่ดิฉันนำเสนออย่างย่อตามขีดจำกัดของหนังสือเล่มนี้ สั้นกระชับจนต้องเอาข้อเท็จจริงมาย่อเพื่อลงในพื้นที่พอที่จะเข้าใจเนื้อเรื่องที่รวบรวมมาประยุกต์ใช้ ในบางกรณี นักประวัติศาสตร์สรุปรวบรวมเหตุการณ์ต่างๆ ไว้ด้วยกัน เพื่อให้เกิดภาพที่ชัดเจนของเรื่องเหล่านั้น หรือย่อรายละเอียดต่างๆ ให้กระชับ ดิฉันก็จะอ้างอิงคำพูดของคนเหล่านี้ แต่มีบางครั้งที่ดิฉันมิได้อ้างอิงที่มาของประโยคเพราะไม่มุ่งหมายที่จะใช้เป็นแหล่งอ้างอิงแต่นำประโยคมาใช้เพื่อประกอบการนำเสนอเนื้อหาเท่านั้น ดิฉันใช้วิธีเดียวกันนี้ในการนำเสนอข้อคิดเห็นและประสบการณ์ของนักปฏิรูปอื่นๆ ในยุคของเรา รวมถึงงานเขียนที่มีการพิมพ์ของท่านเหล่านั้นด้วย” {GC xi.4} GCth17 10.5

    หนังสือเล่มนี้ไม่มีจุดประสงค์ที่จะนำเสนอความจริงใหม่เรื่องการต่อสู้ในยุคต่างๆ ของอดีตมากไปกว่าการตีแผ่ความจริงและหลักการต่างๆ ซึ่งมีผลต่อเหตุการณ์ทั้งหลายที่กำลังจะเกิดขึ้น กระนั้น ในแง่มุมที่เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งยิ่งใหญ่ระหว่างอำนาจแห่งความสว่างกับอำนาจแห่งความมืด จะมองเห็นว่าการบันทึกทั้งหมดของในอดีตจะมีความสำคัญที่ใหม่ และโดยบันทึกเหล่านี้ลำแสงใหม่จะส่องไปยังอนาคต ลำแสงแห่งความสว่างส่องบนเส้นทางเดินของผู้ที่ดำเนินไปเหมือนนักปฏิรูปของยุคก่อน ที่ได้รับการทรงเรียกแม้ให้เสี่ยงภัยด้วยสมบัติทางฝ่ายโลกเพื่อเป็นพยาน “เพราะเหตุพระวจนะของพระเจ้าและคำพยานของพระเยซู” วิวรณ์ 1:9 {GC xii.1} GCth17 11.1

    จุดประสงค์ของหนังสือเล่มนี้คือ เพื่อเปิดเผยภาพของความขัดแย้งยิ่งใหญ่ระหว่างความจริงกับความเท็จ เพื่อเปิดเผยแผนร้ายของซาตานและวิธีต่อต้านมันอย่างได้ผล เพื่อเสนอวิธีอย่างพึงพอใจในการแก้ปัญหาความชั่ว ส่องความสว่างให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นและจุดจบของบาป เพื่อเปิดเผยความยุติธรรมและความรักของพระเจ้าในการปฏิบัติกับผู้ที่พระเจ้าทรงสร้างและสำแดงให้เห็นถึงพระบัญญัติที่ศักดิ์สิทธิ์และไม่แปรเปลี่ยนของพระองค์ โดยผ่านอิทธิพลของหนังสือเล่มนี้ จิตวิญญาณมากมายรับการปลดปล่อยให้เป็นไทจากอำนาจของความมืด และร่วม “มีส่วนในมรดกของธรรมิกชนในความสว่าง” โคโลสี 1:12 เพื่อถวายสรรเสริญแด่พระองค์ผู้ทรงรักเรา และสละพระชนม์ชีพของพระองค์เองเพื่อเรา ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นคำอธิษฐานจากใจจริงของผู้ประพันธ์ GCth17 11.2

    นางเอเลน จี. ไวท์ {GC xii.2}GCth17 11.3