บท 34 - คนตายติดต่อกับเราได้หรือ
- อารัมภบท
- บทนำของคณะผู้จัดพิมพ์ฉบับภาษาอังกฤษ
- คำนำของผู้ประพันธ์
- บท 1 - ความพินาศของกรุงเยรูซาเล็ม
- บท 2 - การกดขี่ข่มเหงในศตวรรษต้นๆ
- บท 3 - ยุคมืดทางจิตวิญญาณ
- บท 4 - ชาววอลเดนซิส
- บท 5 - ยอห์น ไวคลิฟ
- บท 6 - ฮัสและเจอโรมี
- บท 7 - ลูเธอร์ตีตัวออกห่างจากโรม
- บท 8 - ลูเธอร์รายงานตัวต่อสภา
- บท 9 - นักปฏิรูปศาสนาชาวสวิส
- บท 10 - ความก้าวหน้าของการปฏิรูปในประเทศเยอรมนี
- บท 11 - การประท้วงของเจ้าครองแคว้นต่างๆ
- บท 12 - การปฏิรูปศาสนาในประเทศฝรั่งเศส
- บท 13 - ประเทศเนเธอร์แลนด์และแถบสแกนดิเนเวีย
- บท 14 - นักปฏิรูปศาสนาชาวอังกฤษรุ่นหลัง
- บท 15 - พระคัมภีร์กับการปฏิวัติในประเทศฝรั่งเศส
- บท 16 - บรรพบุรุษที่เป็นพิลกริม
- บท 17 - ผู้ประกาศข่าวของรุ่งอรุณ
- บท 18 -นักปฏิรูปชาวอเมริกันท่านหนึ่ง
- บท 19 - ความสว่างส่องเข้าไปในที่มืด
- บท 20 - การตื่นตัวครั้งยิ่งใหญ่ฝ่ายศาสนา
- บท 21 - คำเตือนที่ถูกปฏิเสธ
- บท 22 - เหตุการณ์เกิดขึ้นตามคำพยากรณ์
- บท 23 - สถานนมัสการคืออะไร
- บท 24 - อภิสุทธิสถาน
- บท 25 - พระบัญญัติของพระเจ้าเปลี่ยนแปลงไม่ได้
- บท 26 - ภารกิจหนึ่งของการปฏิรูป
- บท 27 - การฟื้นฟูยุคใหม่
- บท 28 - เผชิญหน้ากับหนังสือบันทึกแห่งชีวิต
- บท 29 - จุดเริ่มต้นของความชั่ว
- บท 30 - มนุษย์และซาตานเป็นศัตรูกัน
- บท 31 - สื่อวิญญาณชั่ว
- บท 32 - กับดักของซาตาน
- บท 33 - การหลอกลวงยิ่งใหญ่ครั้งแรก
- บท 34 - คนตายติดต่อกับเราได้หรือ
- บท 35 - เสรีภาพของจิตสำนึกถูกคุกคาม
- บท 36 - การขัดแย้งที่กำลังจะเกิดขึ้น
- บท 37 - พระคัมภีร์เป็นโล่ป้องกัน
- บท 38 - คำเตือนสุดท้าย
- บท 39 - เวลาแห่งความทุกข์ยาก
- บท 40 - ประชากรของพระเจ้าได้รับการช่วยกู้
- บท 41 - โลกร้างอ้างว้าง
- บท 42 - ความขัดแย้งสิ้นสุดแล้ว
Search Results
- Results
- Related
- Featured
- Weighted Relevancy
- Content Sequence
- Relevancy
- Earliest First
- Latest First
- Exact Match First, Root Words Second
- Exact word match
- Root word match
- EGW Collections
- All collections
- Lifetime Works (1845-1917)
- Compilations (1918-present)
- Adventist Pioneer Library
- My Bible
- Dictionary
- Reference
- Short
- Long
- Paragraph
No results.
EGW Extras
Directory
บท 34 - คนตายติดต่อกับเราได้หรือ
งานการดูแลรับใช้ของทูตสวรรค์บริสุทธิ์ตามคำสอนของพระคัมภีร์นั้นเป็นความจริงที่ให้ความเล้าโลมใจมากที่สุดและประเสริฐยิ่งสำหรับสานุศิษย์ทุกคนของพระคริสต์ แต่คำสอนในพระคัมภีร์เรื่องนี้กลับถูกทำให้มัวหมองและถูกบิดเบือนเนื่องจากคำสอนผิดๆ ทั้งหลายของศาสนศาสตร์ที่คนนิยม หลักคำสอนเรื่องสภาพชีวิตอมตะซึ่งในตอนแรกถูกหยิบยืมมาจากปรัชญาของคนนอกศาสนา และต่อมาได้ถูกแทรกเข้ามาในความเชื่อของคริสเตียนในช่วงยุคมืดแห่งการละทิ้งความเชื่อครั้งใหญ่ จนเข้ามาแทนที่ความจริงที่พระคัมภีร์สอนไว้อย่างชัดเจนว่า “คนตายแล้วก็ไม่รู้อะไรเลย” ปัญญาจารย์ 9:5 ฝูงชนลงเอยเชื่อกันว่า “วิญญาณที่รับใช้พระเจ้า ที่ทรงส่งไปปรนนิบัติบรรดาคนที่จะได้รับความรอด” ฮีบรู 1:9 นั้นคือวิญญาณของคนตาย แต่ไม่ว่าพวกเขาจะกล่าวถึงเรื่องนี้ด้วยวิธีใดก็ตาม พวกเขาก็ไม่สามารถลบล้างคำพยานในพระคัมภีร์ที่กล่าวว่าทูตสวรรค์มีอยู่แล้วและมีความสัมพันธ์กับประวัติศาสตร์ของมนุษย์ก่อนที่ความตายจะเกิดขึ้นกับมนุษย์ {GC 551.1}GCth17 483.1
หลักคำสอนเรื่องคนตายมีความนึกคิดโดยเฉพาะความเชื่อเรื่องวิญญาณของคนตายจะกลับมาดูแลคนที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นได้ปูทางให้กับลัทธิทรงวิญญาณยุคใหม่ หากคนตายได้รับอนุญาตให้ไปอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระเจ้าและทูตสวรรค์บริสุทธิ์และได้รับสิทธิให้รับรู้มากยิ่งกว่าก่อนที่ยังไม่ตาย ทำไมพวกเขาจึงไม่กลับมายังโลกเพื่อให้ความกระจ่างและสอนสั่งคนที่ยังมีชีวิตอยู่เล่า หากตามที่นักศาสนศาสตร์โด่งดังสอนว่าวิญญาณของคนตายจะวนเวียนอยู่รอบๆ มิตรสหายบนโลก ทำไมพวกเขาจึงไม่ได้รับอนุญาตให้มาสื่อ มาเตือนให้ละทิ้งความชั่ว หรือประเล้าประโลมในยามโศกเศร้าเล่า ผู้ที่เชื่อว่าคนตายมีความนึกคิดจะปฏิเสธอย่างไรในเรื่องความกระจ่างของพระเจ้าที่วิญญาณอันมีสง่าราศีนำมาสื่อสารให้แก่เขา นี่เป็นช่องทางที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นช่องทางที่ซาตานใช้เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของมัน ทูตสวรรค์ทั้งหลายที่ล้มลงในบาปจะทำตามคำบัญชาของมันโดยมาปรากฏตัวในฐานะผู้นำข่าวจากโลกวิญญาณ ในขณะที่แสดงออกว่านำคนเป็นให้ไปสื่อสารกับคนตายนั้น เจ้าชายแห่งความชั่วได้ใส่อิทธิพลแห่งการหลอกลวงของมันลงไปในความคิดของพวกเขา {GC 551.2}GCth17 483.2
มันมีอำนาจทำให้ดูเหมือนว่านำรูปร่างของมิตรสหายที่ตายจากไปมาปรากฏต่อหน้ามนุษย์ การปลอมแปลงนั้นทำได้แนบเนียน หน้าตา คำพูด น้ำเสียงที่คุ้นเคยถูกจำลองมาได้อย่างน่าพิศวง คนมากมายรู้สึกสบายใจและมั่นใจว่าคนที่เขารักมีความสุขสำราญในสวรรค์ และโดยปราศจากความระแวงถึงภัยอันตราย พวกเขาปล่อยให้หูฟัง “วิญญาณทั้งหลายที่ล่อลวงและคำสอนของพวกผี” 1 ทิโมธี 4:1 {GC 552.1}GCth17 484.1
เมื่อซาตานชักนำให้พวกเขาเชื่อว่าคนตายกลับมาสนทนากับพวกเขาจริง มันก็จะทำให้ผู้ที่ลงไปยังหลุมฝังศพโดยที่ไม่ได้เตรียมพร้อมมาปรากฏตัว พวกเขาจะอ้างว่ามีความสุขอยู่ในสวรรค์และแม้กระทั่งบอกว่าได้ตำแหน่งสูงส่งที่นั่นและด้วยเหตุนี้คำสอนที่ว่าไม่มีความแตกต่างระหว่างคนชอบธรรมและคนชั่วจึงแพร่กระจายไป ในบางครั้งผู้มาเยือนจากโลกวิญญาณที่หลอกลวงบอกให้ระวังและกล่าวคำเตือนที่เกิดขึ้นจริง และเมื่อพวกเขาเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้นมันก็จะนำเสนอคำสอนที่บ่อนทำลายความเชื่อในพระคัมภีร์โดยตรง มันแสดงความสนใจอย่างจริงจังต่อความทุกข์สุขของมิตรสหายในโลกเพื่อจะสอดแทรกความผิดอันตรายที่สุด เนื่องจากมันกล่าวความจริงบ้างและบางครั้งยังทำนายเหตุการณ์ในอนาคต ทำให้สิ่งที่มันกล่าวน่าเชื่อถือและคนจำนวนมากยอมรับคำสอนเท็จของมันได้อย่างง่ายดายและเชื่ออย่างหมดหัวใจเสมือนหนึ่งว่าคำสอนเหล่านั้นเป็นความจริงศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของพระคัมภีร์ พระบัญญัติของพระเจ้าถูกละเลย พระวิญญาณแห่งพระคุณถูกดูแคลน และพระโลหิตแห่งพันธสัญญาถูกมองว่าไม่ศักดิ์สิทธิ์ วิญญาณเหล่านี้ปฏิเสธความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์และจัดพระผู้สร้างให้อยู่ในระดับเดียวกับมันด้วยการปลอมแปลงในรูปแบบใหม่ กบฏตัวยงผู้นี้ยังคงต่อสู้กับพระเจ้าในสงครามที่มันก่อขึ้นในสวรรค์และดำเนินต่อมาในโลกเป็นเวลาเกือบหกพันปี {GC 552.2}GCth17 484.2
คนมากมายพยายามให้เหตุผลในเรื่องการสำแดงทางวิญญาณโดยชี้ว่าสิ่งเหล่านั้นเกิดจากมือของคนทรงที่มีลูกเล่นและว่องไว แต่แท้จริงแล้วในขนาดที่ผลการเล่นกลบ่อยครั้งก็หลอกว่าเป็นการแสดงออกที่แท้จริงก็ตามที แต่ก็มีการแสดงที่เห็นได้ชัดแจ้งว่ามีอำนาจที่เหนือธรรมชาติร่วมอยู่ด้วย ความลึกลับที่เป็นจุดเริ่มต้นของลัทธิทรงวิญญาณในยุคใหม่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการเล่นกลหรือเล่ห์เหลี่ยมของมนุษย์ แต่เป็นผลงานโดยตรงของเหล่าทูตสวรรค์ชั่วซึ่งโดยวิธีนี้นำการหลอกลวงที่ทำลายจิตวิญญาณอย่างได้ผลที่สุดวิธีหนึ่งมาให้ คนมากมายจะติดกับดักโดยเชื่อว่าลัทธิทรงวิญญาณเป็นเพียงการหลอกลวงที่มนุษย์ทำขึ้น เมื่อพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับการสำแดงที่เกิดขึ้นซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นผลงานของอำนาจที่เหนือธรรมชาติแล้ว พวกเขาจึงถูกหลอกและถูกชักนำให้ยอมรับว่าสิ่งเหล่านั้นเกิดจากอำนาจยิ่งใหญ่ของพระเจ้า {GC 553.1}GCth17 485.1
คนเหล่านี้มองข้ามคำพยานในพระคัมภีร์เรื่องการอัศจรรย์ที่ซาตานและตัวแทนของมันทำ นักมายากลของฟาโรห์เลียนแบบพระราชกิจของพระเจ้าได้ด้วยการช่วยเหลือของซาตาน เปาโลประกาศว่า ก่อนการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์ จะมีเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันซึ่งแสดงให้เห็นถึงอำนาจของซาตาน ก่อนการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะมี “การดลบันดาลของซาตาน พร้อมกับการอิทธิฤทธิ์ทุกอย่าง ทั้งหมายสำคัญ และการอัศจรรย์จอมปลอม และอุบายชั่วทุกอย่าง” 2 เธสะโลนิกา 2:9, 10 และอัครทูตยอห์นบรรยายถึงอำนาจการทำอัศจรรย์ที่จะแสดงออกในวาระสุดท้ายว่า “มันทำหมายสำคัญที่ยิ่งใหญ่ถึงขั้นทำให้ไฟตกจากฟ้าลงมายังแผ่นดินโลกต่อหน้าคนทั้งหลาย มันล่อลวงคนทั้งหลายที่อยู่บนแผ่นดินโลกด้วยหมายสำคัญต่างๆ” ซึ่ง “ทรงอนุญาตให้มันทำ” วิวรณ์ 13:13, 14 การทำนายไว้ในที่นี้ไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องการหลอกลวง มนุษย์จะถูกหลอกด้วยการอัศจรรย์ต่างๆ ที่บรรดาตัวแทนของซาตานมีอำนาจทำ ไม่ใช่ด้วยสิ่งที่พวกมันแสร้งทำ {GC 553.2}GCth17 485.2
เป็นเวลาเนิ่นนานแล้วที่เจ้าชายแห่งความมืดมุ่งมั่นบงการวางแผนเพื่อการหลอกลวง มันปรับเปลี่ยนการทดลองต่างๆ ของมันอย่างช่ำชองเพื่อให้เหมาะกับทุกชนชั้นและทุกสภาวการณ์ สำหรับคนที่มีการศึกษาและเป็นผู้ดี มันเสนอลัทธิทรงวิญญาณในรูปแบบที่ประณีตและมีเหตุมีผล และด้วยวิธีนี้มันประสบผลสำเร็จในการดึงคนมากมายเข้าไปยังกับดักของมัน อัครทูตยากอบกล่าวถึงความรู้ที่ลัทธิทรงวิญญาณให้ไว้ว่า “ปัญญาอย่างนี้ไม่ใช่ปัญญาที่มาจากเบื้องบน แต่เป็นปัญญาฝ่ายโลก ฝ่ายเนื้อหนังและฝ่ายผีปีศาจ” ยากอบ 3:15 อย่างไรก็ตาม ในเรื่องนี้ผู้ล่อลวงที่ยิ่งใหญ่จะใช้วิธีปกปิดถ้าการปกปิดจะให้ผลดีที่สุดกับเป้าหมายของมัน ผู้ที่ปรากฏตัวอยู่เบื้องพระพักตร์พระคริสต์ในป่ากันดารด้วยความสว่างเจิดจ้าของทูตสวรรค์ทั้งหลายจะมาหามนุษย์ในลักษณะที่น่าสนใจที่สุดคือในฐานะทูตแห่งความสว่าง มันเข้าหาความมีเหตุมีผลด้วยการเสนอแก่นสารที่สูงส่ง มันนำความพึงพอใจให้พวกช่างเพ้อฝันด้วยภาพที่ชวนให้หลงใหลและมันชักนำความรู้สึกด้วยการแสดงความรักและความโอบอ้อมอารีออกมาอย่างสวยงาม มันกระตุ้นความนึกคิดไปสู่ความอวดดีอย่างรวดเร็ว ทำให้คนทะนงในความฉลาดของตัวเองจนจิตใจของพวกเขาหมิ่นประมาทพระเจ้าแห่งนิรันดร์กาล สิ่งมีชีวิตผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ตนนี้ผู้ที่สามารถนำพระผู้ช่วยของโลกไปยังภูเขาสูงและนำอาณาจักรทั้งโลกและสง่าราศีของอาณาจักรเหล่านั้นให้มาปรากฏต่อเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ จะนำการล่อลวงต่างๆ ของมันมาให้แก่มนุษย์ในลักษณะที่จะบิดเบือนความรู้สึกของทุกคนที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การปกป้องด้วยอำนาจของพระเจ้า {GC 553.3}GCth17 485.3
ในเวลานี้ ซาตานหลอกมนุษย์เหมือนเช่นที่มันหลอกเอวาในสวนเอเดนด้วยคำเยินยอ ด้วยการจุดประกายความต้องการอยากได้ความรู้ต้องห้าม ด้วยการปลุกปั่นความทะเยอทะยานที่อยากให้ตนเองสูงส่งขึ้น ด้วยการยึดความชั่วเหล่านี้ไว้ที่เป็นเหตุทำให้มันล้มลงและโดยวิธีเดียวกันนี้มันมุ่งมั่นที่จะทำให้มนุษย์พินาศ มันประกาศว่า “พวกเจ้าจะเป็นเหมือนอย่างพระเจ้า คือรู้ความดีและความชั่ว” ปฐมกาล 3:5 ลัทธิทรงวิญญาณสอนว่า “มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เจริญขึ้นไปเรื่อยๆ ชะตากรรมของเขาตั้งแต่เกิดจะต้องก้าวไปข้างหน้า แม้กระทั่งไปถึงนิรันดร์กาล ไปยังพระเจ้าพระบิดา” และยังกล่าวต่อไปว่า “สมองของแต่ละคนจะตัดสินตนเองและไม่ตัดสินผู้อื่น” “การพิพากษาจะยุติธรรมเพราะเป็นการตัดสินตัวเอง....บัลลังก์อยู่ในตัวของท่าน” อาจารย์ของลัทธิทรงวิญญาณคนหนึ่งกล่าวขณะที่ “ความรู้สึกทางจิตวิญญาณ” ตื่นขึ้นภายในตัวเขาว่า “เพื่อนมนุษย์ทุกคนของข้าพเจ้า ทุกคนเป็นเทวดาชั้นต่ำที่ไม่ได้ล้มลงในบาป” และอีกท่านหนึ่งสอนว่า “คนดีและบริบูรณ์ทุกคนคือพระคริสต์” {GC 554.1}GCth17 486.1
ด้วยประการฉะนี้ ความชอบธรรมและความดีรอบคอบของพระเจ้าผู้ทรงไม่มีที่สิ้นสุด องค์แท้จริงที่เราจะต้องเทิดทูนสรรเสริญ และความชอบธรรมอันบริบูรณ์ของพระบัญญัติซึ่งเป็นมาตรฐานที่แท้จริงที่มนุษย์ต้องก้าวไปให้ถึง ถูกซาตานเอาธรรมชาติที่บาปและผิดของตัวมนุษย์เองเข้าไปแทนที่เพื่อเป็นเป้าหมายของการเทิดทูนเกียรติ เป็นกฎเดียวของการพิพากษาหรือเป็นมาตรฐานของอุปนิสัย นี่เป็นการเคลื่อนไปข้างหน้าแต่ไม่ได้ยิ่งสูงขึ้น แต่กลับดิ่งลงต่ำ {GC 554.2}GCth17 486.2
กฎของสภาพทั้งทางฝ่ายปัญญาและฝ่ายจิตวิญญาณมีอยู่ว่า ด้วยการเฝ้ามอง เราจะรับการเปลี่ยนแปลง สมองจะค่อยๆ ปรับตัวให้เข้ากับเรื่องที่เราครุ่นคิดและจะผสมผสานเข้ากับสิ่งที่เขารักและเคารพ มนุษย์จะก้าวไปได้ไม่สูงเกินกว่ามาตรฐานแห่งความบริสุทธิ์หรือความดีหรือความจริงของเขา เขาจะไปไม่ถึงอุดมคติที่สูงส่งของเขา เขาจะไม่สามารถเข้าไปถึงสิ่งที่สูงส่ง แต่จะจมดิ่งลงไปเรื่อยๆ พระคุณของพระเจ้าเท่านั้นที่มีอำนาจยกชูมนุษย์ขึ้น หากปล่อยให้เขาอยู่ตามลำพัง วิถีของเขาจะตกต่ำลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ {GC 555.1}GCth17 487.1
สำหรับผู้ที่ตามใจตนเอง ผู้ที่รักแต่ความสนุกสนาน และผู้ที่ใฝ่ใจในกามารมณ์ ลัทธิทรงวิญญาณเข้าหาคนเหล่านี้ด้วยการปกปิดน้อยกว่าเมื่อมันเข้าหาผู้ดีและผู้มีการศึกษา โดยรวมแล้ว พวกเขาจะพบสิ่งที่เข้าได้กับแนวความคิดของพวกเขา ซาตานศึกษาเครื่องหมายชี้บอกจุดอ่อนทุกจุดในธรรมชาติของมนุษย์ มันบันทึกบาปที่แต่ละคนมีความโน้มเอียงจะทำ และแล้วมันก็จะจัดการไม่ให้เสียโอกาสที่จะสร้างความพอใจให้กับแนวโน้มในการทำชั่ว สำหรับสิ่งที่ถูกต้องมันล่อลวงมนุษย์ให้ทำมากเกินขอบเขตเพื่อให้พลังกาย ความคิด และศีลธรรมอ่อนแอไปด้วยการไม่รู้จักประมาณตน มันทำลายคนนับพันและยังคงทำลายต่อไปโดยให้หมกมุ่นอยู่กับตัณหาซึ่งทำร้ายธรรมชาติของมนุษย์อย่างโหดเหี้ยม และเพื่อทำให้งานของมันสำเร็จ มันประกาศผ่านทางวิญญาณว่า “ความรู้ที่แท้จริงยกระดับมนุษย์ให้อยู่เหนือกฎทุกข้อ” “ทุกสิ่งที่ถูกต้อง” ที่ “พระเจ้าไม่ทรงประณาม” และ “บาปทั้งปวงที่ทำไปก็ถือว่าไม่มีความผิด” เมื่อคนทั้งหลายถูกชักนำให้เชื่อว่าความปรารถนาเป็นกฎหมายสูงสุด เสรีภาพคือใบอนุญาตและมนุษย์ต้องรับผิดชอบต่อตัวเขาเองเท่านั้น จึงไม่ต้องแปลกใจเมื่อความไม่ถูกต้องและความเลวร้ายไหลบ่าเข้ามามากเช่นนี้ คนจำนวนมากมายกระตือรือร้นที่จะยอมรับคำสอนต่างๆ ที่ปล่อยให้พวกเขามีเสรีภาพในการทำสิ่งที่หัวใจฝ่ายเนื้อหนังเรียกร้อง บังเหียนควบคุมตนถูกวางไว้ที่คอของตัณหา อำนาจความคิดและจิตวิญญาณถูกทำให้อยู่ภายใต้การควบคุมของความโน้มเอียงเยี่ยงสัตว์ และแล้วซาตานก็กวาดคนนับพันที่อ้างตัวว่าเป็นผู้ติดตามพระคริสต์เข้าไปในร่างแหของมันด้วยความปีติยินดี {GC 555.2}GCth17 487.2
แต่ไม่มีผู้ใดจะต้องถูกหลอกด้วยเรื่องเหลวไหลของลัทธิทรงวิญญาณ พระเจ้าประทานความสว่างอย่างเพียงพอเพื่อให้พวกเขาตรวจพบกับดัก ดังที่ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าทฤษฏีที่เป็นพื้นฐานโดยตรงของลัทธิทรงวิญญาณนั้นมีความขัดแย้งกับข้อความที่ชัดเจนที่สุดของพระคัมภีร์ พระคัมภีร์เปิดเผยว่าคนตายไม่รู้อะไรเลย ความนึกคิดของเขาก็สูญสิ้นไป เขาทั้งหลายไม่มีส่วนอันใดที่บังเกิดขึ้นภายใต้ดวงอาทิตย์ พวกเขาไม่รู้ว่าผู้ที่เขารักมากที่สุดในโลกจะมีความสุขหรือความทุกข์ {GC 556.1}GCth17 488.1
ยิ่งกว่านั้น พระเจ้าทรงห้ามไว้อย่างชัดเจนถึงการกระทำทุกอย่างที่ติดต่อสื่อสารแบบจอมปลอมกับวิญญาณซึ่งจากไปแล้ว ในสมัยของคนฮีบรู มีคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่อ้างว่าสามารถสื่อกับคนตายได้ เหมือนเช่นคนทรงในยุคปัจจุบัน แต่ผู้ที่มาเยือนจากโลกอื่นที่เรียกว่า “วิญญาณของผู้ที่คุ้นเคย” นั้นพระคัมภีร์เปิดเผยว่าเป็น “วิญญาณชั่ว” (เปรียบเทียบ กันดารวิถี 25:1-3 สดุดี 106:28 1 โครินธ์ 10:20 วิวรณ์ 16:14) การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวิญญาณของผู้ที่เราคุ้นเคยนั้นถูกกำหนดไว้ว่าเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจจำเพาะพระเจ้าและมีการห้ามปรามอย่างจริงจังโดยมีโทษถึงตาย เลวีนิติ 19:31; 20: 27 บัดนี้ คำว่าเวทมนตร์คาถาเองก็เป็นที่ผู้คนเหยียดหยาม การอ้างว่ามนุษย์สามารถสื่อสารกับวิญญาณชั่วต่างๆ ได้นั้นถูกมองว่าเป็นนิยายในยุคมืด แต่ลัทธิทรงวิญญาณที่มีผู้เชื่อนับร้อยนับพันแม้กระทั่งเป็นล้านได้แทรกตัวเข้าไปในวงการวิทยาศาสตร์ บุกเข้าไปในคริสตจักรและเป็นที่นิยมของผู้ออกกฎหมายบ้านเมือง และแม้กระทั่งในพระราชสำนักของพระราชา การหลอกลวงอันใหญ่หลวงนี้กำลังหวนกลับคืนมาใหม่ ปลอมแปลงด้วยรูปลักษณ์ใหม่ ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือการทรงเจ้าเข้าผีที่ถูกประณามและห้ามปรามในสมัยโบราณนั่นเอง {GC 556.2}GCth17 488.2
หากไม่มีหลักฐานอื่นใดเพื่อแสดงถึงธาตุแท้ของลัทธิทรงวิญญาณแล้ว วิญญาณที่ไม่เห็นความแตกต่างระหว่างความชอบธรรมและบาป ระหว่างคุณงามความดีและความบริสุทธิ์ของอัครทูตของพระคริสต์กับทาสรับใช้เลวที่สุดของซาตาน ก็ควรเป็นการเพียงพอสำหรับคริสเตียน โดยการนำเสนอว่าคนเลวที่สุดไปอยู่สวรรค์และรับเกียรติอย่างสูงที่นั่นเช่นนี้ ซาตานกำลังบอกโลกให้รู้ว่า “ไม่ว่าท่านจะชั่วช้าเพียงใดก็ตาม ไม่ว่าท่านจะเชื่อพระเจ้าและพระคัมภีร์หรือไม่เชื่อก็ตาม ขอให้ใช้ชีวิตตามความพึงพอใจของท่าน สวรรค์เป็นบ้านของท่าน” ผู้สอนของลัทธิทรงวิญญาณแทบจะประกาศว่า “ทุกคนที่ทำชั่วก็เป็นคนดีในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์และพระองค์พอพระทัยคนเหล่านั้น” และ “พระเจ้าแห่งความยุติธรรมอยู่ที่ไหน” มาลาคี 2:17 พระคำของพระเจ้ากล่าวไว้ว่า “วิบัติแก่พวกที่เรียกความชั่วว่าความดีและเรียกความดีว่าความชั่วร้าย พวกที่ถือว่าความมืดคือความสว่างและความสว่างคือความมืด” อิสยาห์ 5:20 {GC 556.3}GCth17 488.3
วิญญาณหลอกลวงเหล่านี้ที่ปลอมตัวเป็นอัครทูตถูกนำมาใช้เพื่อคัดค้านสิ่งที่พวกเขาเขียนภายใต้การทรงดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลก พวกเขาปฏิเสธแหล่งที่มาอันศักดิ์สิทธิ์ของพระคัมภีร์และด้วยเหตุนี้จึงทำลายรากฐานแห่งความหวังของคริสเตียนและดับแสงสว่างที่ส่องทางไปสู่สวรรค์ ซาตานพยายามทำให้ทั้งโลกเชื่อว่าพระคัมภีร์เป็นเพียงตำนาน นิยาย หรือเป็นแค่หนังสือที่เหมาะสำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์ในยุคแรกเท่านั้น แต่ปัจจุบันถือว่าไม่สำคัญหรือล้าสมัย และมันนำเสนอการสำแดงทางวิญญาณเพื่อเอาไปแทนที่พระคำของพระเจ้า นี่เป็นช่องทางที่อยู่ภายใต้การควบคุมของมันโดยสิ้นเชิง ด้วยวิธีนี้มันทำให้โลกเชื่อสิ่งที่มันต้องการให้เชื่อ มันนำพระคัมภีร์ที่ตัดสินมันและผู้ติดตามทั้งหลายของมันไปไว้ในที่มืดซึ่งเป็นที่ที่มันต้องการ มันทำให้พระผู้ช่วยให้รอดของโลกมีค่าไม่มากไปกว่ามนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ดังเช่นทหารชาวโรมันที่เฝ้าอยู่หน้าอุโมค์ฝังศพของพระเยซูแพร่กระจายรายงานเท็จซึ่งปุโรหิตและผู้ปกครองบอกให้พวกเขาพูดเพื่อเป็นข้อพิสูจน์ในการหักล้างเรื่องการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูนั้น บรรดาผู้ที่เชื่อเรื่องการสำแดงทางวิญญาณก็กระทำการแบบเดียวกันโดยการทำให้ดูประหนึ่งว่าไม่มีเหตุการณ์อัศจรรย์ใดเกิดขึ้นในชีวิตของพระผู้ช่วยให้รอด หลังจากที่พวกเขาคอยหาทางปัดพระเยซูให้ไปอยู่ทางด้านหลังฉากแล้ว พวกเขาจึงหันความสนใจมาที่การอัศจรรย์ต่างๆ ของพวกเขาเอง ประกาศว่าการอัศจรรย์เหล่านี้ยิ่งใหญ่กว่าผลงานของพระเยซูคริสต์เสียอีก {GC 557.1}GCth17 489.1
เป็นเรื่องจริงที่ในเวลานี้ลัทธิทรงวิญญาณกำลังเปลี่ยนแปลงรูปแบบและปกปิดลักษณะบางประการที่น่าพึงรังเกียจและสวมหน้ากากของคริสเตียน แต่คำพูดต่างๆ ของมันจากเวทีและจากสื่อมวลชนปรากฏอยู่หน้าสาธารณชนมาเป็นเวลาหลายปีและด้วยสิ่งเหล่านี้ ธาตุแท้ของมันถูกเผยออกมาให้เห็น ไม่อาจที่จะปฏิเสธหรือปกปิดคำสอนต่างๆ เหล่านี้ได้ {GC 557.2} GCth17 489.2
แม้ในรูปแบบปัจจุบันที่ห่างไกลจากการมีคุณค่าเพียงพอที่จะพอยอมรับได้กว่าในอดีตก็ตาม โดยความเป็นจริงแล้วกลับอันตรายกว่า เพราะมีการหลอกลวงที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมมากกว่า ในขณะที่รูปแบบเดิมโจมตีพระคริสต์และพระคัมภีร์ รูปแบบปัจจุบันกลับประกาศยอมรับทั้งพระคริสต์และพระคัมภีร์ แต่จะแปลความหมายของพระคัมภีร์ในลักษณะที่ถูกใจของหัวใจที่ยังไม่บังเกิดใหม่ โดยความจริงที่สำคัญจริงจังและจำเป็นในพระคัมภีร์กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีความหมาย ความรักถูกสาธยายว่าเป็นคุณลักษณะสำคัญที่สุดของพระเจ้า แต่กลับถูกลดระดับให้เหลือเป็นอารมณ์อ่อนไหวอันเปราะบางซึ่งทำให้ความดีงามและความชั่วมีความแตกต่างกันน้อยมาก ความยุติธรรมของพระเจ้า การประณามบาปของพระองค์และข้อกำหนดของธรรมบัญญัติบริสุทธิ์ของพระองค์ทั้งหมดนี้ถูกปัดทิ้งออกไปจากสายตา ประชาชนถูกสอนให้รับว่าพระบัญญัติสิบประการของพระเจ้าเป็นคำสอนที่ตายไปแล้ว นิยายรื่นหูและมีมนต์เสน่ห์ครอบงำความรู้สึกและนำมนุษย์ให้ปฏิเสธพระคัมภีร์ว่าเป็นพื้นฐานของความเชื่อ ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาก็ยังคงปฏิเสธพระคริสต์เหมือนเมื่อก่อน แต่ซาตานทำให้ตาของพวกเขาบอดไปจนมองไม่เห็นการหลอกลวง {GC 558.1}GCth17 489.3
มีคนจำนวนน้อยที่เข้าใจได้อย่างถูกต้องถึงอำนาจการล่อลวงของลัทธิทรงวิญญาณและภัยอันตรายของการไปอยู่ภายใต้อิทธิพลของมัน หลายคนเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับลัทธิทรงวิญญาณเพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็น พวกเขาไม่ได้เชื่อเรื่องเช่นนี้และจะหวาดกลัวเมื่อคิดว่าจะต้องเข้าไปอยู่ภายใต้การควบคุมของวิญญาณเหล่านั้น แต่พวกเขากลับย่ำเข้าไปในเขตแดนต้องห้ามและผู้ทำลายผู้ยิ่งใหญ่ก็ใช้อำนาจของมันเข้าควบคุมโดยที่พวกเขาไม่เต็มใจ ในทันทีที่พวกเขาปล่อยตัวให้สมองถูกชักจูงไปตามบัญชาของมัน แล้วมันก็จะจับพวกเขามาเป็นเหยื่อ มันเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะใช้กำลังของตนเองมาปลดปล่อยให้หลุดพ้นจากมนต์เสน่ห์และการล่อลวงของมัน ไม่มีสิ่งใดเว้นไว้เสียแต่อำนาจของพระเจ้าที่ทรงโปรดประทานให้ผ่านทางการอธิษฐานด้วยความเชื่อที่ร้อนรนเท่านั้นที่จะช่วยปลดปล่อยจิตวิญญาณที่ถูกจับเหล่านี้ให้เป็นอิสระได้ {GC 558.2}GCth17 490.1
ทุกคนที่ปล่อยตัวให้หมกมุ่นอยู่กับอุปนิสัยบางส่วนที่ชั่วหรือจงใจเก็บรักษาบาปที่รู้อยู่แก่ใจกำลังเชื้อเชิญการทดลองต่างๆ ของซาตาน พวกเขาแยกตัวเองออกไปจากพระเจ้าและจากการคุ้มครองของทูตสวรรค์ เมื่อซาตานนำเสนอการล่อลวงต่างๆ ของมัน พวกเขาจะไม่มีเครื่องป้องกันและตกเป็นเหยื่อได้อย่างง่ายดาย ผู้ที่นำตัวเองไปอยู่ภายใต้อำนาจของมันจะไม่มีทางรู้ว่าวิถีชีวิตของพวกเขาจะสิ้นสุดลงที่ใด เมื่อผู้ล่อลวงเอาชนะพวกเขาได้แล้ว มันก็จะใช้พวกเขาเป็นตัวแทนเพื่อล่อลวงผู้อื่นไปสู่ความหายนะต่อไป {GC 558.3}GCth17 490.2
ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์กล่าวว่า “เมื่อเขาทั้งหลายกล่าวกับพวกท่านว่า ‘จงปรึกษากับคนทรงหรือพ่อมดแม่มดผู้ร้องเสียงจ้อกแจ้กและเสียงพึมพำ’ ไม่ควรหรือที่ประชาชนจะปรึกษาพระเจ้าของเขา ควรหรือที่เขาจะไปปรึกษาคนตายเพื่อคนเป็น ไปดูธรรมบัญญัติและถ้อยคำพยาน แน่ทีเดียวคนที่ไม่พูดเช่นข้าพเจ้า ก็จะเป็นคนที่ไม่มีรุ่งอรุณเลย” อิสยาห์ 8:19, 20 หากมนุษย์พร้อมที่จะรับความจริงเรื่องธรรมชาติของมนุษย์และสภาพของคนตายที่พระคัมภีร์กล่าวไว้อย่างชัดเจนแล้ว พวกเขาก็จะมองเห็นข้ออ้างและการสำแดงของลัทธิทรงวิญญาณว่าเป็นการกระทำของซาตานที่มันทำด้วยอำนาจและนิมิตและการอัศจรรย์ที่หลอกลวง แต่แทนที่จะยอมจำนนต่อเสรีภาพที่เข้ากันได้ดีกับหัวใจฝ่ายเนื้อหนัง และละทิ้งบาปต่างๆ ที่พวกเขาชื่นชอบ ฝูงชนจำนวนมากกลับปิดตาของตนจากแสงสว่างและเดินตรงเข้าไปโดยไม่สนใจคำเตือน ในขณะที่ซาตานสานกับดักของมันอยู่รอบตัวของพวกเขาและพวกเขาจึงตกเป็นเหยื่อของมัน “เพราะเขาไม่ได้รักความจริงเพื่อจะรอดได้ เพราะเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงให้ความลุ่มหลงมาถึงพวกเขา ให้เขาเชื่อสิ่งที่เท็จ” 2 เธสะโลนิกา 2:10, 11 {GC 559.1}GCth17 490.3
ผู้ที่ต่อต้านคำสอนของลัทธิทรงวิญญาณมิได้กำลังโจมตีมนุษย์เท่านั้น แต่กำลังต่อสู้กับซาตานและทูตของมัน พวกเขาเข้าร่วมต่อสู้กับพวกภูตผีที่ครอบครอง พวกภูตผีที่มีอำนาจ และพวกวิญญาณชั่วในสวรรคสถาน เอเฟซัส 6:12 ซาตานไม่ยอมปล่อยอาณาเขตของมันแม้สักกระเบียดเดียว ยกเว้นว่ามันจะถูกอำนาจของผู้สื่อข่าวชาวสวรรค์ขับไล่ออกไป ประชากรของพระเจ้าจะต้านมันได้ด้วยพระดำรัสที่ว่า “มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า…” เหมือนเช่นที่พระผู้ช่วยให้รอดของเราเคยเอาชนะมาแล้ว ในวันนี้ ซาตานอ้างพระคัมภีร์เหมือนที่เคยทำมาแล้วในสมัยของพระคริสต์ และมันจะบิดเบือนคำสอนของพระคัมภีร์เพื่อสนับสนุนการหลอกลวงของมัน ผู้ที่จะยืนหยัดอยู่ในช่วงเวลาอันตรายจะต้องเข้าใจคำพยานในพระคัมภีร์ด้วยตนเอง {GC 559.2}GCth17 490.4
คนมากมายจะต้องเผชิญหน้ากับวิญญาณของปีศาจที่มาในร่างของญาติหรือมิตรสหายที่เขารักและประกาศคำสอนเทียมเท็จที่อันตรายที่สุด ผู้มาเยือนเหล่านี้จะดึงดูดความเห็นอกเห็นใจที่อ่อนไหวที่สุดของเราและจะทำการอัศจรรย์เพื่อยืนยันคำอวดอ้างของมัน เราจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อต่อต้านสิ่งเหล่านี้ด้วยความจริงในพระคัมภีร์ที่ว่า คนตายไม่รู้อะไรเลยและผู้ที่มาปรากฏเช่นนั้นเป็นวิญญาณของมาร {GC 560.1}GCth17 491.1
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเราคือ “ช่วงเวลาแห่งการทดลอง ซึ่งจะมาถึงคนทั่วทั้งโลกเพื่อจะทดลองคนทั้งหลายที่อยู่ในโลก” วิวรณ์ 3:10 ทุกคนที่ไม่ได้วางความเชื่อของเขาอย่างมั่นคงในพระคำของพระเจ้าจะถูกหลอกและพ่ายแพ้ ซาตานทำงานด้วย “อุบายชั่วทุกอย่าง” 2 เธสะโลนิกา 2:10 เพื่อควบคุมบุตรทั้งหลายของมนุษย์ และการหลอกลวงของมันจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่มันจะบรรลุเป้าหมายของมันได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์ยอมจำนนต่อการทดลองของมันด้วยความสมัครใจเท่านั้น บรรดาผู้ที่แสวงหาความจริงด้วยความจริงใจและบากบั่นที่จะชำระจิตวิญญาณของพวกเขาด้วยการเชื่อฟัง ลงมือทำสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับความขัดแย้งเช่นนี้แล้ว พวกเขาจะพบแนวป้องกันที่มั่นคงในพระเจ้าแห่งความจริง พระผู้ช่วยให้รอดทรงสัญญาว่า “เพราะว่าเจ้าถือรักษาคำของเราคือมีความทรหดอดทน เราจะเฝ้ารักษาเจ้า” วิวรณ์ 3:10 พระองค์จะทรงส่งทูตสวรรค์ทุกองค์ออกจากสวรรค์ในไม่ช้าเพื่อไปปกป้องประชากรของพระองค์มากกว่าที่จะทรงปล่อยจิตวิญญาณเพียงดวงเดียวที่วางใจในพระองค์ต้องพ่ายแพ้แก่ซาตาน {GC 560.2}GCth17 491.2
ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์บรรยายให้เห็นถึงภาพหลอกลวงอันน่ากลัวที่จะเกิดขึ้นกับคนชั่วซึ่งทำให้พวกเขาถือว่าตนเองปลอดภัยจากจากการพิพากษาของพระเจ้าไว้ว่า “เราได้ทำพันธสัญญากับความตายแล้ว และเราได้ทำข้อตกลงกับแดนคนตาย เมื่อภัยพิบัติไหลบ่าลงมา มันจะไม่มาถึงเรา เพราะเราทำให้ความเท็จเป็นที่หลบภัยของเรา และเราถูกกำบังไว้ด้วยการโกหก” อิสยาห์ 28:15 กลุ่มคนที่บรรยายไว้ในที่นี้รวมถึงผู้ดื้อรั้นไม่สำนึกผิดที่คอยปลอบตนเองอย่างมั่นใจว่าการลงโทษไม่มีไว้ให้กับคนบาป ว่ามนุษยชาติทั้งปวงไม่ว่าจะชั่วสักเพียงไรก็จะถูกยกชูให้ขึ้นถึงสวรรค์ไปเป็นทูตสวรรค์ของพระเจ้า แต่ที่รุนแรงมากยิ่งกว่านี้คือพวกที่ไปทำพันธสัญญาไว้กับความตายและทำข้อตกลงไว้กับแดนนรก พวกที่ตัดตนเองขาดไปจากความจริงที่พระเจ้าแห่งสรวงสวรรค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้เพื่อเป็นโล่ป้องกันในเวลาแห่งความทุกข์ยากและยอมเข้าหลบอยู่ในความเท็จที่ซาตานเสนอให้แทนซึ่งเป็นข้ออ้างที่หลอกลวงของลัทธิทรงวิญญาณ {GC 560.3}GCth17 491.3
สิ่งที่น่าพิศวงเกินคำบรรยายใดๆ คือตาของคนในยุคนี้มืดบอดไป คนนับพันปฏิเสธพระคำของพระเจ้าว่าไม่คู่ควรที่จะเชื่อและยอมรับการหลอกลวงของซาตานด้วยความเชื่อมั่นอย่างร้อนรน คนเย้ยหยันและคนเยาะเย้ยประณามความดื้อรั้นของผู้ที่พอใจในความเชื่อของบรรดาผู้เผยพระวจนะและอัครทูต และพวกเขาเบี่ยงเบนตนเองด้วยการยกชูเพื่อเยาะเย้ยคำประกาศที่จริงจังขึงขังของพระคัมภีร์ในเรื่องพระคริสต์และแผนการแห่งการไถ่ให้รอด และการลงโทษที่จะตกลงมายังผู้ที่ปฏิเสธความจริง พวกเขาแสร้งทำเป็นสงสารอย่างยิ่งใหญ่ต่อคนที่มีความคิดคับแคบ อ่อนแอและงมงายเช่นนี้ ที่ยอมรับข้ออ้างของพระเจ้าและเชื่อฟังข้อกำหนดในธรรมบัญญัติของพระองค์ พวกเขาแสดงออกอย่างแน่ใจราวกับว่าได้กระทำพันธสัญญาไว้กับความตายและทำข้อตกลงไว้กับแดนคนตาย ราวกับว่าพวกเขาสร้างแนวขวางกั้นที่ผ่านและทะลุไม่ได้ระหว่างตัวเขาเองกับพระพิโรธของพระเจ้า ไม่มีสิ่งใดจะทำให้พวกเขากลัว พวกเขายอมผู้ล่อลวงด้วยความเต็มใจ พวกเขาเข้าร่วมเป็นหนึ่งกับมันอย่างสนิทสนมและอิ่มเอิบอยู่ในวิญญาณของมันอย่างเต็มที่ จนไม่มีกำลังหรือความโน้มเอียงที่จะปลีกตัวออกไปจากกับดักของมัน {GC 561.1}GCth17 492.1
ซาตานเตรียมการมาเนิ่นนานแล้วเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับความพยายามครั้งสุดท้ายของมันในการหลอกลวงโลก งานที่มันทำนั้น วางอยู่บนพื้นฐานที่มันกล่าวให้ความมั่นใจแก่เอวาในสวนเอเดนว่า “พวกเจ้าจะไม่ตายแน่” “พวกเจ้ากินผลจากต้นไม้นั้นวันใด ตาของพวกเจ้าจะสว่างขึ้นในวันนั้น แล้วพวกเจ้าจะเป็นเหมือนอย่างพระเจ้า คือรู้ความดีและความชั่ว” ปฐมกาล 3:4, 5 มันเตรียมทางทีละเล็กทีละน้อยสำหรับผลงานชิ้นเอกของการหลอกลวงด้วยการพัฒนาลัทธิทรงวิญญาณ แผนงานของมันยังไม่เสร็จสมบูรณ์ตามที่มันวางแผนไว้ แต่จะทำให้สำเร็จได้ในช่วงสุดท้ายของเวลาที่เหลือ ผู้เผยพระวจนะกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเห็นวิญญาณโสโครกสามดวงรูปร่างเหมือนอย่างกบ…….วิญญาณเหล่านี้เป็นผีที่ทำหมายสำคัญ พวกมันออกไปหากษัตริย์ทั้งหลายทั่วโลก เพื่อรวบรวมกษัตริย์เหล่านั้นไปทำสงคราม ในวันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด” วิวรณ์ 16:13, 14 คนทั้งโลกจะถูกกวาดให้เข้าร่วมขบวนการหลอกลวงนี้ ยกเว้นผู้ที่อยู่ภายใต้อำนาจการปกป้องของพระเจ้าด้วยการเชื่อในพระคำของพระองค์ คนทั้งหลายจะถูกกล่อมให้หลับไปอย่างรวดเร็วกับความเชื่อมั่นที่อันตรายและตื่นขึ้นมาพบกับพระพิโรธของพระเจ้าที่เทลงมา {GC 561.2}GCth17 492.2
องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าตรัสว่า “เราจะตั้งความยุติธรรมเป็นเชือกวัด และความชอบธรรมเป็นลูกดิ่ง แล้วลูกเห็บจะกวาดความเท็จอันเป็นที่หลบภัยไปเสีย และน้ำจะไหลบ่าล้นที่กำบัง แล้วพันธสัญญาของพวกท่านกับความตายจะเป็นโมฆะ และข้อตกลงของท่านกับแดนคนตายจะไม่ดำรงอยู่ เมื่อภัยพิบัติไหลบ่าลงมา พวกท่านจะถูกมันเหยียบย่ำ” อิสยาห์ 28:17, 18 {GC 562.1}GCth17 492.3