Loading...
Larger font
Smaller font
Copy
Print
Contents
อุทาหรณ์จากคำสอนของพระคริสต์ - Contents
  • Results
  • Related
  • Featured
No results found for: "".
  • Weighted Relevancy
  • Content Sequence
  • Relevancy
  • Earliest First
  • Latest First
    Larger font
    Smaller font
    Copy
    Print
    Contents

    บทที่ 22 - การพูดและการกระทำ

    อ้างอิงจากมัทธิว 21:23-32

    ชายคนหนึ่งมีบุตรชายสองคน วันหนึ่งชายผู้นี้กล่าวกับบุตรชายคนโตว่า “ ลูกเอ๋ย วันนี้จงไปทำงานในสวนองุ่นเถิด’ บุตรคนนั้นตอบว่า ‘ไม่ไป’ แต่ภายหลังกลับใจแล้วก็ไป บิดาไปหาบุตรคนที่สองพูดอย่างเดียวกัน บุตรคนนั้นกล่าวว่า ‘ไป’ แต่ไม่ได้ไป คนไหนในบุตรสองคนนี้ที่ทำตามใจของบิดา พวกเขาทูลตอบว่า บุตรคนแรก” มัทธิว 21:28-31 {COL 272.1}COLTh 235.1

    ในคำเทศนาบนภูเขา พระเยซูตรัสว่า “ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้” มัทธิว 7:21 สิ่งที่จะพิสูจน์ความจริงใจไม่ได้อยู่ที่คำพูด แต่อยู่ที่การกระทำ พระคริสต์ไม่ได้ตรัสถามผู้ใดเลยว่า “ท่านได้อะไรยิ่งกว่าคนทั้งปวงเล่า ” แต่พระองค์ตรัสว่า ท่านได้ทำอะไรพิเศษยิ่งกว่าคนอื่นๆ” มัทธิว 5:47 และถ้อยคำของพระองค์ตรัสว่า “เมื่อพวกท่านรู้อย่างนี้แล้วและประพฤติตามท่านก็เป็นสุข” ยอห์น 13:17 ก็มีความหมายที่ลึกซึ้ง คำพูดที่ปราศจากการกระทำที่เหมาะสมนั้นเป็นสิ่งไร้ค่า นี่คือบทเรียนที่อุปมาเรื่องบุตรชายสองคนสอนไว้ {COL 272.2}COLTh 235.2

    พระเยซูทรงเล่าอุปมานี้ระหว่างการเยือนกรุงเยรูซาเล็มเป็นครั้งสุดท้ายก่อนการสิ้นพระชนม์ไม่นาน ก่อนหน้านี้พระองค์ขับไล่ผู้ซื้อและผู้ขายทั้งหลายออกจากพระวิหารของพระเจ้า พระสุรเสียงที่พระองค์ตรัสกับเขาเหล่านั้นเต็มไปด้วยอำนาจของพระเจ้า พวกเขาประหลาดใจและหวาดกลัวจนต้องทำตามคำบัญชาของพระองค์โดยไม่กล้าแก้ตัวหรือขัดขืน {COL 272.3}COLTh 236.1

    เมื่อความกลัวหายไปแล้ว ปุโรหิตและผู้ใหญ่กลับไปยังพระวิหารและพบพระเยซูกำลังรักษาคนเจ็บป่วยและใกล้ตาย พวกเขาได้ยินเสียงแห่งความชื่นชมยินดีและเสียงเพลงสรรเสริญภายในวิหารเอง พวกเด็กที่ได้รับการรักษามีสุขภาพหายดีดังเดิม กำลังโบกกิ่งใบตาลร้องโฮซานนาถวายแด่บุตรดาวิด เสียงทารกคลอไปตามเพลงสรรเสริญของพระผู้ทรงรักษาที่ยิ่งใหญ่ ถึงกระนั้นสิ่งเหล่านี้ยังมีไม่เพียงพอที่จะเอาชนะอคติและความอิจฉาของปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ {COL 273.1}COLTh 236.2

    วันต่อมา ขณะที่พระคริสต์ทรงกำลังสั่งสอนอยู่ในวิหารนั้น มหาปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ได้เข้ามาหาพระองค์และถามว่า “ท่านทำสิ่งเหล่านี้โดยสิทธิอำนาจอะไร ใครให้สิทธิอำนาจแก่ท่าน” มัทธิว 21:23 {COL 273.2}COLTh 236.3

    พวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่นั้นมีพยานหลักฐานที่ไม่ผิดซึ่งแสดงถึงอำนาจของพระคริสต์ในการที่พระองค์ทรงชำระพระวิหารนั้น พวกเขาเห็นอำนาจจากสวรรค์ส่องประกายจากพระพักตร์ของพระองค์ พวกเขาไม่อาจขัดขืนอำนาจที่พระองค์ใช้ในการตรัส การรักษาคนป่วยอย่างอัศจรรย์ของพระองค์ก็เป็นการตอบคำถามพวกเขาอย่างชัดเจนอีกครั้ง พระองค์ทรงมีหลักฐานที่ไม่สามารถหักล้างได้ แต่พวกเขาไม่ได้ต้องการพยานหลักฐาน บรรดาปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ทั้งหลายต้องการให้พระเยซูประกาศตนเองว่าพระองค์คือพระเมสสิยาห์เพื่อพวกเขาจะใช้คำพูดของพระองค์ปรักปรำพระองค์และปลุกระดมมวลชนให้ต่อต้านพระองค์ พวกเขาต้องการทำลายอิทธิพลของพระองค์และจัดการให้พระองค์ถึงแก่ความตาย {COL 273.3}COLTh 236.4

    พระเยซูทรงทราบดีว่าหากพวกเขามองไม่เห็นพระเจ้าในพระองค์หรือมองเห็นพยานหลักฐานของพระลักษณะนิสัยของพระเจ้าในพระราชกิจของพระองค์แล้ว พวกเขาก็จะไม่มีวันเชื่อคำพยานของพระองค์ว่าทรงเป็นพระคริสต์ พระองค์จึงเลี่ยงการตอบคำถามในเรื่องนี้ ซึ่งพวกเขาหวังว่าจะใช้เป็นข้อกล่าวหา แต่แท้จริงแล้วกลับประณามการกระทำของพวกเขาเอง พระองค์ตรัสว่า “เราก็จะถามพวกท่านสักข้อหนึ่งเหมือนกัน ถ้าพวกท่านตอบเรา เราก็จะบอกท่านว่าเราทำสิ่งเหล่านี้โดยสิทธิอำนาจอะไร คือบัพติศมาของยอห์นนั้นมาจากไหน มาจากสวรรค์หรือมาจากมนุษย์ ” มัทธิว 21:24 {COL 273.4}COLTh 237.1

    พวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่งุนงง “เขาทั้งหลายปรึกษากันว่า ‘ถ้าเราว่ามาจากสวรรค์’ เขาจะถามเราว่า ‘ทำไมถึงไม่เชื่อยอห์น’ แต่ถ้าเราบอกว่า ‘มาจากมนุษย์’ ก็กลัวฝูงชน เพราะทุกคนถือว่ายอห์นเป็นผู้เผยพระวจนะ เขาทั้งหลายจึงทูลตอบพระเยซูว่า ‘เราไม่รู้’ พระองค์จึงตรัสว่า ‘ เราก็จะไม่บอกพวกท่านเหมือนกันว่าเรามีสิทธิอำนาจอะไรถึงได้ทำสิ่งเหล่านี้ ’” มัทธิว 21:25-27 {COL 274.1}COLTh 237.2

    คำว่า “เราไม่รู้ ” นั้นเป็นคำตอบเท็จ ปุโรหิตรู้สถานะภาพของตัวเองดี จึงพูดปดเพื่อปกปิดตัวเอง ยอห์นผู้ให้รับบัพติศมามาเพื่อเป็นพยานให้กับพระองค์ผู้ที่กำลังถูกพวกเขาตั้งข้อกล่าวหาเรื่องสิทธิอำนาจยอห์นชี้ไปที่พระองค์และกล่าวว่า “จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้าผู้ทรงรับบาปของโลกไป” ยอห์น 1:29 ยอห์นเป็นผู้ประกอบพิธีบัพติศมาให้แก่พระองค์และหลังจากเสร็จพิธีขณะที่พระคริสต์กำลังอธิษฐานอยู่นั้น ฟ้าสวรรค์เปิดออกและพระวิญญาณของพระเจ้าดุจนกพิราบสถิตอยู่บนพระองค์พร้อมทั้งมีพระสุรเสียงจากสวรรค์ตรัสว่า “ท่านนี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก” มัทธิว 3:17 {COL 274.2}COLTh 237.3

    ถึงแม้พวกเขาจำคำพยากรณ์ที่ยอห์นย้ำเสมอเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์และภาพที่พระเยซูทรงรับบัพติศมาได้แต่บรรดาหัวหน้าปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ไม่กล้าพูดว่าบัพติศมาของยอห์นมาจากสวรรค์ หากพวกเขายอมรับยอห์นว่าเป็นผู้เผยพระวจนะตามที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นนั้น พวกเขาจะปฏิเสธคำพยานของยอห์นที่กล่าวว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าได้อย่างไร และพวกเขาก็ไม่สามารถพูดว่าบัพติศมาของยอห์นมาจากมนุษย์ได้ เพราะประชาชนเชื่อว่ายอห์นเป็นผู้เผยพระวจนะ ดังนั้นพวกเขาจึงตอบว่า “เราไม่รู้” {COL 274.3}COLTh 238.1

    จากนั้นพระคริสต์ทรงเล่าอุปมาเรื่องบิดาและบุตรสองคน เมื่อบิดาไปหาบุตรคนโตแล้วพูดว่า “ลูกเอ๋ย วันนี้จงไปทำงานในสวนองุ่นเถิด” บุตรชายคนนั้นตอบทันทีว่า “ ไม่ไป” มัทธิว 21:28, 29 เขาไม่ยอมเชื่อฟังและใช้ชีวิตในทางผิดกับมิตรสหายชั่ว แต่ในที่สุดเขากลับใจและปฏิบัติตามคำสั่ง {COL 274.4}COLTh 238.2

    บิดาไปหาบุตรคนที่สองด้วยคำสั่งอันเดียวกันว่า “ลูกเอ๋ย วันนี้จงไปทำงานในสวนองุ่นเถิด” บุตรชายคนนี้ตอบว่า “ ไป ” แต่เขาไม่ไป {COL 275.1}COLTh 238.3

    ในอุปมานี้ บิดาเปรียบเหมือนพระเจ้า และสวนองุ่นคือคริสตจักร บุตรสองคน เป็นตัวแทนของคนสองประเภท บุตรคนที่หนึ่งปฏิเสธที่จะเชื่อฟังและพูดว่า “ไม่ไป” หมายถึงคนที่ทำบาปอย่างเปิดเผย ไม่แสดงตนว่าเป็นคนเคร่งครัดศาสนา ปฏิเสธอย่างเปิดเผยที่จะอยู่ภายใต้แอกแห่งการควบคุม และการเชื่อฟังตามที่พระบัญญัติของพระเจ้ากล่าวไว้ แต่ต่อมาภายหลังมีหลายคนกลับใจและปฏิบัติตามการทรงเรียกของพระเจ้า เมื่อกิตติคุณมายังพวกเขาในข่าวของยอห์นผู้ให้บัพติศมาว่า “จงกลับใจเสียใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว” พวกเขากลับใจและสารภาพบาปของตน มัทธิว 3:2 {COL 275.2} COLTh 238.4

    ส่วนบุตรคนที่สองที่พูดว่า “ไป” แต่ไม่ไปนั้นเปิดเผยให้เห็นอุปนิสัยของพวกฟาริสี พวกผู้นำชาวยิวเป็นเหมือนบุตรคนนี้ที่ไม่ตระหนักถึงบาปของตนและนึกว่าตนเองชอบธรรม วิถีชีวิตฝ่ายศาสนาของพวกยิวกลายเป็นการเสแสร้ง เมื่อพระเจ้าทรงประกาศพระบัญญัติของพระองค์ด้วยพระสุรเสียงของพระองค์บนภูเขาซีนาย ทุกคนปฏิญาณว่าจะเชื่อฟัง พวกเขาพูดว่า “ไป” แต่ไม่ไป เมื่อพระคริสต์เสด็จมาด้วยพระองค์เองเพื่อสำแดงพระบัญญัติของพระเจ้าให้ประจักษ์ พวกเขากลับปฏิเสธพระองค์ พระคริสต์ทรงแสดงพยานหลักฐานมากมายให้ผู้นำชาวยิวในสมัยพระองค์ทราบถึงฤทธิ์และอำนาจของพระองค์ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเชื่อก็ตามที แต่ก็หาได้ยอมรับหลักฐานเหล่านั้นไม่ พระคริสต์ทรงเปิดเผยให้เห็นว่า สาเหตุที่พวกเขาไม่เชื่อนั้นเป็นเพราะว่าเขาขาดแคลนจิตวิญญาณที่จะนำพาพวกเขาให้เชื่อฟัง พระองค์ทรงประกาศก้องว่า “อย่างนั้นแหละ พวกท่านทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นโมฆะไปเพราะคำสอนสืบทอดของท่าน…พวกเขานมัสการเราโดยเปล่าประโยชน์ เพราะเอากฎเกณฑ์ของมนุษย์มาสอนว่าเป็นพระดำรัสสอน” มัทธิว 15:6, 9 {COL 276.1}COLTh 238.5

    กลุ่มคนที่อยู่เบื้องหน้าพระพักตร์พระคริสต์มีพวกธรรมจารย์และฟาริสี ปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่รวมอยู่ด้วย และหลังจากที่พระองค์ทรงเล่าอุปมาจบแล้วก็ทรงตั้งคำถามว่า “คนไหนในบุตรสองคนนี้ที่ทำตามใจของบิดา” พวกฟาริสีทูลตอบอย่างลืมตัวว่า “ บุตรคนแรก ” พวกเขาตอบไปโดยไม่ได้คำนึงถึงว่าพวกเขากำลังประณามตนเอง พระคริสต์จึงย้ำต่อไป “เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า บรรดาคนเก็บภาษีและหญิงโสเภณีจะได้เข้าในแผ่นดินของพระเจ้าก่อนพวกท่านทั้งหลาย เพราะยอห์นมาหาพวกท่านและแสดงวิถีทางของความชอบธรรม และท่านไม่ได้เชื่อ แต่พวกคนเก็บภาษีและพวกหญิงโสเภณีเชื่อ และแม้เมื่อท่านทั้งหลายเห็นแล้วก็ยังไม่กลับใจเชื่อยอห์น” มัทธิว 21:31, 32 {COL 276.2} COLTh 239.1

    ยอห์นผู้ให้รับบัพติศมามาเพื่อประกาศความจริง และโดยการประกาศนี้คนบาปสำนึกผิดและกลับใจ คนบาปเหล่านี้จะเข้าไปยังแผ่นดินสวรรค์ก่อนพวกคนที่คิดว่าตนเองชอบธรรมและต่อต้านคำเตือนสำคัญ พวกคนเก็บภาษีและหญิงโสเภณีไม่มีความรู้ ในขณะที่ผู้คงแก่เรียนเหล่านี้รู้ทางแห่งความจริง แต่พวกเขาก็ยังปฏิเสธที่จะเดินบนเส้นทางที่นำไปสู่สวรรค์ของพระเจ้า ความจริงที่ควรนำพาพวกเขาไปสู่กลิ่นหอมแห่งชีวิตซึ่งนำไปสู่ชีวิตกลับกลายเป็นกลิ่นแห่งความตาย ซึ่งนำไปสู่ความตาย คนบาปที่แสดงตัวอย่างเปิดเผยว่าเกลียดชังตัวเองยอมรับบัพติศมาจากยอห์น แต่พวกผู้นำทางศาสนาเหล่านี้กลับเป็นคนหน้าซื่อใจคด จิตใจดื้อดึงของพวกเขาเป็นอุปสรรคขวางกั้นไม่ให้พวกเขายอมรับความจริง พวกเขาปฏิเสธการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อให้สำนึกบาป ปฏิเสธที่จะเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเจ้า {COL 277.1}COLTh 239.2

    พระคริสต์ไม่ได้ตรัสกับพวกเขาว่า พวกเจ้าเข้าแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้ แต่ทรงเปิดเผยให้เห็นว่า อุปสรรคต่างๆ ที่ขวางกั้นไม่ให้พวกเขาเข้าสวรรค์เกิดจากผลที่พวกเขาปั้นแต่งขึ้นมาเอง ประตูยังคงเปิดกว้างให้ผู้นำชาวยิวเหล่านี้เสมอ คำเชิญชวนยังส่งต่อไปให้พวกเขาอยู่ พระคริสต์ทรงประสงค์ที่จะเห็นพวกเขาสำนึกผิดและกลับใจ {COL 277.2} COLTh 240.1

    บรรดาปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลใช้ชีวิตอยู่กับพิธีกรรมทางศาสนาต่างๆ ที่พวกเขาคิดว่าศักดิ์สิทธิ์เกินกว่าที่จะเชื่อมโยงกับธุรกิจทางฝ่ายโลก ด้วยเหตุนี้ชีวิตทั้งหมดของพวกเขาจึงวกวนอยู่กับเรื่องของศาสนา แต่พวกเขาปฏิบัติตามพิธีกรรมเหล่านั้นเพียงเพื่อให้คนอื่นเห็นและเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจว่าพวกตนเคร่งครัดและอุทิศตนเพื่อศาสนา ในขณะที่อ้างว่าตนเชื่อฟังพวกเขากลับปฏิเสธที่จะเชื่อฟังพระเจ้า พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติความจริงที่พวกเขาอ้างว่าเป็นผู้สั่งสอน {COL 278.1}COLTh 240.2

    พระคริสต์ทรงประกาศว่ายอห์นผู้ให้บัพติศมาเป็นผู้เผยพระวจนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่ง และพระองค์ทรงเปิดเผยหลักฐานให้เป็นที่ประจักษ์แก่ผู้ฟังทั้งหลายว่ายอห์นเป็นผู้สื่อข่าวจากพระเจ้า ถ้อยคำของผู้เทศนาในป่ากันดารเต็มไปด้วยอำนาจ เขาประกาศข่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน ประณามความผิดของพวกปุโรหิตและผู้นำ และเชิญชวนให้พวกเขามีส่วนร่วมในการรับใช้ของแผ่นดินสวรรค์ ยอห์นชี้ให้พวกเขาเห็นว่าพวกเขาหมิ่นพระราชอำนาจของพระเจ้าด้วยการปฏิเสธที่จะทำงานที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้ เขาไม่ยอมประนีประนอมกับบาปและคนจำนวนมากหันจากความอธรรมของตนเอง {COL 278.2} COLTh 240.3

    หากบรรดาผู้นำชาวยิวมีความเชื่อที่แท้จริง คนเหล่านี้คงยอมรับคำพยานของยอห์นและรับพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์ แต่พวกเขาไม่ได้แสดงออกถึงผลของการกลับใจและความชอบธรรม คนที่พวกเขาดูหมิ่นดูแคลนก้าวเข้าแผ่นดินสวรรค์ก่อนพวกเขา {COL 278.3}COLTh 240.4

    ในอุปมา บุตรคนที่พูดว่า “ไป” ทำตัวราวกับว่าเป็นบุตรที่เชื่อฟังและซื่อสัตย์ แต่เมื่อเวลาผ่านไปจะพิสูจน์ให้เห็นว่าความเชื่อฟังของพวกเขานั้นไม่จริง พวกเขาไม่มีความรักแท้ต่อบิดา เช่นเดียวกัน พวกฟาริสีภูมิใจในความบริสุทธิ์ของตนเอง แต่เมื่อทดสอบแล้ว จึงพบว่ายังขาดอยู่ หากการใดเป็นเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง พวกเขาก็จะทำให้กฎบัญญัตินั้นเข้มงวด แต่เมื่อถึงคราวที่พวกเขาเองต้องปฏิบัติตามกฎ พวกเขาก็จะใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้า พระเยซูตรัสถึงพวกเขาว่า “เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งที่เขาทั้งหลายสั่งสอนพวกท่านนั้น จงถือและประพฤติตามยกเว้นการประพฤติของพวกเขาอย่าทำตามเลย เพราะพวกเขาไม่ได้ทำในสิ่งที่พวกเขาสอน” มัทธิว 23:3 พวกเขาไม่มีรักแท้ให้กับพระเจ้าหรือมนุษย์ พระเจ้าทรงเรียกให้พวกเขามาร่วมทำงานกับพระองค์เพื่อนำพระพรสู่ชาวโลก แต่ในขณะรับหน้าที่อยู่นั้น พวกเขารับพระบัญชาของพระองค์ แต่การกระทำกลับแสดงออกถึงการปฏิเสธที่จะเชื่อฟัง พวกเขาวางใจตนเองและภาคภูมิใจในความดีของตน แต่ปฏิเสธพระบัญชาของพระเจ้า พวกเขาปฏิเสธที่จะทำงานตามที่พระเจ้าทรงมอบหมาย และเนื่องจากการล่วงละเมิดของพวกเขา พระเจ้ากำลังจะตัดตัวพระองค์เองขาดจากชนชาติที่ไม่เชื่อฟังเหล่านี้ {COL 278.4}COLTh 241.1

    การเป็นคนชอบธรรมด้วยตนเองนั้นไม่ใช่ความชอบธรรมที่แท้จริง และผู้ที่ยึดติดกับความคิดเช่นนี้จะต้องรับผลของการหลงผิดที่นำไปสู่ความตาย ทุกวันนี้มีคนจำนวนมากอ้างว่าตนเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเจ้า แต่ในใจของพวกเขาไม่มีความรักของพระเจ้าที่จะแบ่งปันให้ผู้อื่น พระคริสต์ทรงเรียกให้พวกเขาเข้าร่วมกับพระองค์ในการช่วยโลกให้รอด แต่พวกเขาสร้างความพอใจให้แก่ตนเองด้วยการพูดว่า “ผมไปครับท่าน ” พวกเขาไม่ได้ไป พวกเขาไม่ร่วมมือกับผู้ที่ทำงานรับใช้ของพระเจ้า คนเหล่านี้เป็นคนว่างงาน เหมือนบุตรคนที่ไม่ซื่อสัตย์ พวกเขาทำสัญญาเท็จกับพระเจ้า พวกเขาปฏิญาณตนในคริสตจักรสัญญาว่าจะรับและเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า จะอุทิศตนเพื่องานของพระองค์แต่พวกเขาไม่ได้ประพฤติตามนั้น พวกเขาอ้างว่าตนเป็นบุตรของพระเจ้า แต่ในชีวิตจริงและอุปนิสัย พวกเขาปฏิเสธความสัมพันธ์นี้ พวกเขาไม่ยอมมอบถวายความตั้งใจให้พระเจ้า พวกเขาดำรงชีวิตที่มุสา {COL 279.1}COLTh 241.2

    พวกเขาแสดงออกว่ามีความเชื่อฟังตามที่สัญญาไว้เมื่อไม่ต้องเสียสละ แต่เมื่อต้องปฏิเสธตนและต้องเสียสละ เมื่อพวกเขามองเห็นว่าจะต้องแบกกางเขน พวกเขาก็ถอนตัวไป ด้วยเหตุนี้ความเชื่อมั่นที่จะทำตามหน้าที่จึงเฉื่อยชาไป และล่วงละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้าอย่างเปิดเผยจนติดเป็นนิสัย หูของพวกเขาอาจได้ยินพระวจนะของพระเจ้า แต่ดวงตาแห่งจิตวิญญาณบอดไปเสียแล้ว จิตใจและความสำนึกผิดชอบในตัวของพวกเขาก็แข็งกระด้างไป {COL 279.2} COLTh 242.1

    โปรดอย่าคิดว่า การที่ท่านไม่ได้ต่อต้านพระคริสต์อย่างเปิดเผยเป็นการรับใช้พระองค์ การคิดเช่นนี้เป็นการหลอกลวงจิตวิญญาณของเราเอง การที่เราไม่ใช้สิ่งที่พระเจ้าประทานมาให้เพื่อรับใช้พระองค์ ไม่ว่าจะเป็นเวลาหรือเงินทอง หรือของประทานใดที่พระองค์ทรงมอบให้ก็ตาม เรากำลังต่อต้านพระองค์ {COL 279.3COLTh 242.2

    ซาตานใช้คนที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียนที่ไม่มีชีวิตชีวา เกียจคร้านและหลับใหลเพื่อเสริมกำลังพลของมันและนำจิตวิญญาณอื่นๆ มาเป็นพวกเดียวกับมัน คนจำนวนมากคิดว่าแม้เขาไม่ได้ทำงานอะไรเพื่อพระคริสต์ แต่ก็ยังอยู่ฝ่ายพระองค์ คนเหล่านี้ทำให้ซาตานเข้ายึดครองพื้นที่และอยู่ในฐานที่ได้เปรียบ โดยการละเลยไม่ทำงานรับใช้พระองค์ผู้เป็นเจ้านายอย่างขยันขันแข็ง ละทิ้งงานที่รับผิดชอบและไม่ยอมพูดคำที่ต้องพูด พวกเขาปล่อยให้ซาตานเข้าควบคุมจิตใจของคนจำนวนมากที่อาจจะนำมาหาพระคริสต์ {COL 280.1} COLTh 242.3

    เราจะไม่มีทางรับความรอดในสภาพที่เกียจคร้านและไม่ทำกิจกรรมใดเลย ไม่มีคำว่ากลับใจอย่างแท้จริงสำหรับคนที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างไร้จุดหมายและเปล่าประโยชน์ การลอยเข้าสวรรค์เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ คนเฉื่อยแฉะจะเข้าไปที่นั่นไม่ได้ หากเราไม่พยายามหาทางเข้าไปแผ่นดินสวรรค์หรือไม่พยายามที่จะเรียนรู้ว่าอะไรเป็นองค์ประกอบของบัญญัติของสวรรค์แล้ว เราไม่เหมาะที่จะมีส่วนในแผ่นดินนั้น ผู้ที่ปฏิเสธที่จะร่วมมือกับพระเจ้าในโลกจะไม่มีส่วนในการร่วมมือกับพระองค์ในแผ่นดินสวรรค์ เป็นเรื่องไม่ปลอดภัยที่จะนำคนเหล่านี้ไปสวรรค์ {COL 280.2}COLTh 242.4

    คนบาปและคนเก็บภาษียังมีหวังมากกว่าคนที่รู้และเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าแต่ปฏิเสธที่จะเชื่อและปฏิบัติตาม ผู้ที่ตระหนักว่าตนเป็นคนบาปที่ไม่มีสิ่งใดปกปิดบาปของตน คนที่รู้ตัวว่ากำลังทำให้จิตใจ ร่างกายและจิตวิญญาณของตนตกต่ำต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า จะรู้สึกตื่นตัวว่าหาไม่แล้วพวกเขาจะถูกตัดขาดจากแผ่นดินสวรรค์อย่างถาวร พวกเขาตระหนักถึงสภาพของตนเองและแสวงหาการรักษาเยียวยาจากแพทย์ผู้ประเสริฐ พระผู้ตรัสว่า “คนที่มาหาเรา เราจะไม่ขับไล่เลย” ยอห์น 6:37 พระเจ้าทรงใช้จิตวิญญาณเหล่านี้เป็นคนงานในสวนองุ่นของพระองค์ได้ {COL 280.3}COLTh 243.1

    พระคริสต์ไม่ทรงตำหนิหรือชมเชยบุตรที่ไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งของบิดาในตอนแรก กลุ่มคนที่เปรียบเสมือนบุตรคนโตซึ่งตอบปฏิเสธบิดาของตนไม่สมควรได้รับการชมเชย การพูดตรงไปตรงมาของคนกลุ่มนี้ไม่ถือว่าเป็นความดี ผู้ที่รับการชำระให้บริสุทธิ์ด้วยความจริงและความบริสุทธิ์จะเป็นพยานที่กล้าหาญเพื่อพระคริสต์ แต่เมื่อคนบาปนำวิธีนี้ไปใช้จะกลายเป็นการดูหมิ่นและยั่วยุและนำไปสู่การดูหมิ่นพระเจ้า การที่เขาไม่ได้เป็นคนหน้าซื่อใจคดไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนบาปหนาน้อยกว่าผู้อื่น เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเรียกร้องจิตใจ เราจะต้องรีบตอบสนองโดยไม่รีรอเพื่อความปลอดภัยของเราเอง เมื่อคำเรียกร้องมาถึง “วันนี้จงไปทำงานในสวนองุ่นเถิด” อย่าปฏิเสธคำเชิญของพระองค์ “วันนี้ถ้าท่านทั้งหลายได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ อย่าให้จิตใจของท่านดื้อรั้น” ฮีบรู 4:7 การผัดวันประกันพรุ่งในการเชื่อฟังเป็นการกระทำที่ไม่ปลอดภัย ท่านอาจจะไม่ได้รับคำเชิญอีก {COL 280.4}COLTh 243.2

    อย่าให้ผู้ใดหลงประจบตัวเองว่าบาปที่เขาชอบและเก็บไว้นั้น จะสละทิ้งไปได้โดยง่ายในยามที่ต้องการ ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น การเก็บบาปไว้จะทำให้อุปนิสัยอ่อนแอลงและบาปนั้นจะไปเสริมกำลังให้เป็นนิสัย และผลลัพธ์คือทำให้ร่างกาย จิตวิญญาณและศีลธรรมตกต่ำ ท่านอาจกลับใจและพยายามดำเนินอยู่บนหนทางที่ถูกต้อง แต่จิตใจที่ถูกฝึกเป็นนิสัยและความเคยชินต่อบาปจะทำให้การจำแนกความถูกต้องและความผิดยากยิ่งขึ้น และเมื่อความผิดกลายเป็นความเคยชินแล้ว ซาตานจะจู่โจมท่านต่อไปเรื่อย ๆ {COL 281.1}COLTh 243.3

    คำสั่งที่ว่า “วันนี้จงไปทำงานในสวนองุ่นเถิด” เป็นการนำการทดสอบความจริงใจของจิตวิญญาณมายังทุกคน เราจะมีทั้งการกระทำและคำพูดหรือไม่ ผู้ที่ถูกเรียกจะใช้กำลังความรู้ความสามารถทั้งหมดที่เขามีอยู่ทำงานให้กับพระองค์ผู้เป็นเจ้าของสวนอย่างซื่อสัตย์และจริงใจหรือไม่ {COL 281.2}COLTh 244.1

    อัครสาวกเปโตรให้คำแนะนำเกี่ยวกับแผนที่เราจะทำงานไว้ว่า “ขอพระคุณและสันติสุขจงเพิ่มพูนแก่ท่านทั้งหลายยิ่งๆ ขึ้น โดยการรู้จักพระเจ้าและพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ฤทธิ์เดชของพระองค์ได้ให้ทุกสิ่งแก่เราที่จำเป็นต่อชีวิตและต่อการดำเนินตามทางพระเจ้า โดยการรู้จักพระองค์ผู้ได้ทรงเรียกเราด้วยพระสิริและคุณธรรมของพระองค์เอง โดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์จึงได้ประทานพระสัญญาอันล้ำค่าและยิ่งใหญ่แก่เรา เพื่อว่าโดยพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจะพ้นจากความเสื่อมทรามที่มีอยู่ในโลกอันเกิดจากความปรารถนาชั่ว {COL 281.3}COLTh 244.2

    และจะมีส่วนในพระลักษณะของพระองค์ ด้วยเหตุนี้เอง พวกท่านจงพยายามอย่างที่สุดที่จะเอาคุณธรรมเพิ่มความเชื่อของพวกท่าน เอาความรู้เพิ่มคุณธรรม เอาการควบคุมตัวเองเพิ่มความรู้ เอาความทรหดอดทนเพิ่มการควบคุมตัวเอง และเอาความยำเกรงพระเจ้าเพิ่มความทรหดอดทน เอาความรักฉันพี่น้องเพิ่มความยำเกรงพระเจ้าและเอาความรักเพิ่มความรักฉันพี่น้อง ” 2 เปโตร 1:2-7 {COL 282.1}COLTh 244.3

    หากท่านทำงานในสวนองุ่นแห่งจิตวิญญาณของท่านเองอย่างซื่อสัตย์ พระเจ้ากำลังให้ท่านร่วมงานกับพระองค์ และท่านจะมีงานทำไม่เพียงเพื่อตนเองฝ่ายเดียว แต่เพื่อคนอื่นด้วย การที่พระองค์ทรงเปรียบเทียบคริสตจักรเป็นสวนองุ่น ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องจำกัดการทำงานและความเห็นอกเห็นใจเฉพาะในหมู่พวกเราเท่านั้น สวนองุ่นของพระเจ้าจะต้องขยายออกไป พระองค์ทรงประสงค์ที่จะให้ขยายออกไปทั่วโลก ขณะที่เรารับความรู้และพระคุณจากพระองค์แล้วเราจะต้องถ่ายทอดความรู้ วิธีการรักษาต้นองุ่นอันมีค่านี้ให้กับผู้อื่น โดยวิธีนี้เราจะขยายสวนองุ่นของพระเจ้าออกไปได้ พระเจ้ากำลังรอคอยดูพยานหลักฐานแห่งความเชื่อ ความรัก และความอดทนของเรา พระองค์ทรงเฝ้าดูว่าเราใช้พระพรทางจิตวิญญาณทั้งหมดในการทำงานในสวนองุ่นของโลกนี้หรือไม่ เพื่อเราจะเข้าไปในอุทยานสวรรค์ของพระเจ้า คือสวนเอเดนซึ่งอาดัมและเอวาถูกขับไล่ออกมาเนื่องจากการล่วงละเมิด {COL 282.2}COLTh 244.4

    พระเจ้าทรงมีความสัมพันธ์เป็นเช่นบิดาของเรา และบิดาก็มีสิทธิที่จะเรียกร้องให้ผู้เป็นบุตรรับใช้ตนอย่างซื่อสัตย์ จงพิจารณาชีวิตของพระคริสต์ พระองค์ทรงเป็นผู้นำของมวลมนุษย์ในการรับใช้พระบิดาของพระองค์ และทรงเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับบุตรทุกคน ความเชื่อฟังที่พระองค์ทรงมีต่อพระเจ้าเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนในโลกพึงกระทำ พระองค์ทรงรับใช้พระเจ้าด้วยความรักอย่างเต็มพระทัยและเป็นอิสระ พระองค์ตรัสว่า “ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยินดีทำตามน้ำพระทัยพระองค์” สดุดี 40:8 พระคริสต์ไม่ได้นับว่าการเสียสละใดที่ใหญ่โตเกินไป ไม่มีงานใดที่ยากเกินไปที่พระองค์เสด็จมาเพื่อกระทำให้สำเร็จไม่ได้ ขณะที่พระองค์ทรงมีพระชนม์มายุ 12 พรรษา พระองค์ตรัสว่า “พ่อกับแม่ไม่รู้หรือว่าลูกต้องอยู่ในพระนิเวศของพระบิดา” ลูกา 2:49 พระองค์ทรงได้ยินการเรียกและทรงรับงานนั้นมาทำ พระองค์ตรัสว่า “อาหารของเราคือกระทำตามพระประสงค์ของผู้ทรงใช้เรามา และทำให้งานของพระองค์สำเร็จ” ยอห์น 4:34 {COL 282.3}COLTh 245.1

    ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องรับใช้พระเจ้า ผู้ที่รับใช้เป็นผู้ที่ได้กระทำหน้าที่ด้วยความเชื่อฟังตามมาตรฐานอันสูงสุดเท่านั้น ผู้ที่จะได้ชื่อว่าเป็นบุตรชายหญิงของพระเจ้าจะต้องพิสูจน์ตนเองด้วยการเป็นผู้ร่วมทำงานกับพระเจ้าและพระคริสต์กับบรรดาทูตสวรรค์ นี่คือการทดสอบจิตใจทุกดวง พระเจ้าตรัสถึงผู้ที่รับใช้พระองค์อย่างซื่อสัตย์ว่า “เขาทั้งหลายจะเป็นคนของเรา เป็นกรรมสิทธิ์พิเศษของเรา ในวันที่เราจะประกอบกิจ และเราจะเมตตาคนเหล่านี้ ดังชายเมตตาบุตรผู้ปรนนิบัติเขา ” มาลาคี 3:17 {COL 283.1}COLTh 245.2

    เป้าหมายสำคัญของพระเจ้าที่ประทานสิ่งที่ทรงจัดเตรียมไว้ให้แก่มนุษย์ก็เพื่อทดสอบเขา เพื่อให้โอกาสเขาพัฒนาอุปนิสัยของตน ทั้งนี้จะเป็นการพิสูจน์ว่าพวกเขาเชื่อฟังพระบัญชาสั่งของพระองค์หรือไม่ ผลงานที่ดีซื้อความรักจากพระเจ้าไม่ได้ เราก็จะไม่ทำงานเพื่อหวังจะทำ ให้พระเจ้ารัก ความรักของพระองค์ซึ่งเป็นของขวัญที่ประทานให้โดยเปล่าๆ จะถูกรับเข้าไปในจิตวิญญาณและด้วยความรักที่เรามีต่อพระองค์ เราก็จะ ยินดีปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ {COL 283.2}COLTh 245.3

    ในโลกทุกวันนี้มีคนอยู่เพียงสองจำพวก และคนทั้งสองจำพวกนี้จะถูกแยกออกในเวลาแห่งการพิพากษา คือคนที่ล่วงละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้าและคนที่เชื่อฟัง พระคริสต์ทรงให้แบบทดสอบเพื่อพิสูจน์ความจงรักภักดีหรือไม่ภักดีของเราต่อพระองค์ “ถ้าพวกท่านรักเรา ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา….ใครที่มีบัญญัติของเราและประพฤติตามบัญญัติเหล่านั้น คนนั้นเป็นคนที่รักเรา และคนที่รักเรานั้นพระบิดาของเราจะทรงรักเขา และเราจะรักเขาและจะสำแดงตัวให้ปรากฏแก่เขา…คนที่ไม่รักเราก็ไม่ประพฤติตามคำของเรา และคำที่พวกท่านได้ยินนี้ไม่ใช่คำของเรา แต่เป็นของพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา” “ ถ้าท่านประพฤติตามบัญญัติของเราท่านก็จะติดสนิทอยู่กับความรักของเรา เหมือนอย่างที่เราประพฤติตามบัญญัติของพระบิดา และติดสนิทอยู่กับความรักของพระองค์”ยอห์น 14:15-24; 15:10 {COL 283.3}COLTh 246.1

    *****

    Larger font
    Smaller font
    Copy
    Print
    Contents