Loading...
Larger font
Smaller font
Copy
Print
Contents
อุทาหรณ์จากคำสอนของพระคริสต์ - Contents
  • Results
  • Related
  • Featured
No results found for: "".
  • Weighted Relevancy
  • Content Sequence
  • Relevancy
  • Earliest First
  • Latest First
    Larger font
    Smaller font
    Copy
    Print
    Contents

    บทที่ 29 - “เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด”

    อ้างอิงจากมัทธิว 25:1-13

    พระคริสต์กับอัครสาวกทั้งหลายของพระองค์นั่งอยู่บนภูเขามะกอกเทศ ดวงอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว และม่านของความมืดยามราตรีปกคลุมทั่วท้องฟ้า ภาพของบ้านเรือนที่มีแสงตะเกียงสว่างไสวราวกับว่ามีงานรื่นเริงปรากฏให้เห็นเด่นชัด มีแสงสว่างจากลานกว้างแห่งหนึ่งที่นั่น มีกลุ่มคนยืนคอยบ่งบอกให้รู้ว่าขบวนแห่สมรสกำลังจะมาถึง หลายแห่งในซีกโลกตะวันออกจะมีพิธีฉลองแต่งงานในตอนค่ำ เจ้าบ่าวจะไปรับเจ้าสาวมาที่บ้านของเขา ด้วยแสงคบเพลิงส่องนำทาง ขบวนนำจะเดินทางจากบ้านเจ้าสาวไปยังบ้านเจ้าบ่าวที่ซึ่งมีงานเลี้ยงรับรอง ในภาพที่พระคริสต์กำลังทอดพระเนตรอยู่นั้น คนกลุ่มหนึ่งกำลังรอคอยการมาของขบวนเจ้าสาวและพร้อมเข้าร่วมขบวน {COL 405.1}COLTh 367.1

    ใกล้บ้านเจ้าสาวมีหญิงสาวพรหมจารีสิบคนใส่เสื้อขาวเดินอ้อยอิ่งไปมา ในมือของแต่ละคนถือตะเกียงที่มีไฟจุดอยู่คนละอัน และถือขวดสำหรับใส่น้ำมันคนละใบ ทุกคนกำลังรอคอยการมาของเจ้าบ่าวด้วยใจจดจ่อ แต่มีความล่าช้าเกิดขึ้น ผ่านไปชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า ผู้ที่เฝ้ารอคอยิเริ่มอ่อนเพลียและหลับไป จนถึงเวลาเที่ยงคืนมีเสียงร้องดังขึ้นว่า “เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด” มัทธิว 25:6 ทันใดนั้นคนที่นอนตื่นรีบลุกขึ้นยืน พวกเธอเห็นขบวนเคลื่อนไป เป็นขบวนที่สว่างด้วยแสงจากโคมไฟและรื่นเริงด้วยเสียงดนตรี พวกเธอได้ยินเสียงของเจ้าบ่าวเจ้าสาว สาวพรหมจารีทั้งสิบคนรีบคว้าตะเกียงของตน และรีบตกแต่งตะเกียงเพื่อให้ทันเข้าร่วมขบวน แต่มีห้าคนที่ไม่เติมน้ำมันให้เต็มเพราะ พวกเธอไม่คิดว่าการรอคอยจะเนิ่นนานเช่นนี้ จึงไม่ได้เตรียมพร้อมเผื่อยามฉุกเฉิน พวกเธอหันไปยังเพื่อนที่ฉลาดกว่าและกล่าวด้วยความทุกข์ใจว่า “ขอแบ่งน้ำมันของพวกท่านบ้าง เพราะตะเกียงของเราจวนจะดับอยู่แล้ว” มัทธิว 25:8 แต่ผู้ที่รอคอยอีกห้าคนพร้อมตะเกียงที่ตกแต่งแล้วนั้นได้เทน้ำมันจากขวดจนหมด พวกเธอจึงไม่มีน้ำมันเหลือเพื่อแบ่งปันให้ จึงตอบไปว่า “น่ากลัวน้ำมันจะไม่พอสำหรับเราและพวกท่าน จงไปหาคนขาย แล้วซื้อสำหรับตัวเองจะดีกว่า” มัทธิว 25:9 {COL 405.2}COLTh 368.1

    ขณะที่พวกเธอเหล่านั้นออกไปหาซื้อน้ำมัน ขบวนเดินต่อไปและทิ้งพวกเธอไว้ อีกห้าคนที่เหลือมีตะเกียงสว่างได้ร่วมขบวนและเข้าไปในบ้านพร้อมขบวนบ่าวสาวก่อนที่ประตูจะปิด เมื่อสาวพรหมจารีโง่มาถึงบ้านที่จัดงาน พวกเธอพบกับคำปฏิเสธที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน เจ้าภาพของงานประกาศว่า “เราไม่รู้จักท่าน” มัทธิว 25:12 พวกเธอถูกทอดทิ้งอยู่ข้างนอก บนถนนเปลี่ยวในความมืดยามค่ำคืน {COL 406.1}COLTh 368.2

    ขณะที่พระคริสต์ทรงนั่งทอดพระเนตรกลุ่มคนที่กำลังคอยเจ้าบ่าวอยู่นั้น พระองค์ทรงเล่าเรื่องสาวพรหมจารีสิบคนให้สาวกของพระองค์ฟัง โดยใช้ประสบการณ์ของพวกเขาเพื่อให้เห็นถึงประสบการณ์ของคริสตจักรที่จะคงอยู่ก่อนการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์ {COL 406.2}COLTh 368.3

    ผู้รอคอยสองกลุ่มเป็นตัวแทนของกลุ่มคนสองกลุ่มผู้เฝ้ารอคอยพระเจ้า พวกเขาได้รับการขนานนามว่าเป็นสาวพรหมจารีเนื่องจากว่าพวกเขามีความเชื่อที่บริสุทธิ์ ตะเกียงหมายถึงพระวจนะของพระเจ้า ผู้ประพันธ์สดุดีกล่าวว่า “พระวจนะของพระองค์เป็นตะเกียงแก่เท้าของข้าพระองค์ และเป็นความสว่างแก่ทางของข้าพระองค์” สดุดี 119:105 น้ำมันเป็นสัญลักษณ์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คำพยากรณ์ของเศคาริยาห์ให้ความหมายของพระวิญญาณไว้เช่นนี้ ท่านกล่าวว่า “ ทูตสวรรค์ที่สนทนากับข้าพเจ้ามาอีกและปลุกข้าพเจ้าเหมือนคนที่เพิ่งตื่นจากการนอนของเขา และท่านถามข้าพเจ้าว่า เจ้าเห็นอะไร ข้าพเจ้าตอบว่า ข้าพเจ้าเห็นเชิงตะเกียงทำด้วยทองคำล้วนอันหนึ่ง มีชามอยู่ที่ยอด และมีตะเกียงอยู่บนนั้น 7 ดวงและมีท่อ 7 ท่อนำไปยังตะเกียงซึ่งอยู่บนยอดนั้นดวงละท่อ และมีต้นมะกอก 2 ต้นอยู่ข้างๆ อยู่เบื้องขวาชามนั้นต้นหนึ่ง อยู่ข้างซ้ายต้นหนึ่ง และข้าพเจ้าถามทูตสวรรค์ผู้ที่สนทนากับข้าพเจ้าว่า นายเจ้าข้า นี่คืออะไร…..ท่านจึงตอบข้าพเจ้าว่า นี่เป็นพระวจนะของพระยาห์เวห์ที่ให้ไว้กับเศรุบบาเบลว่า ไม่ใช่ด้วยกำลัง ไม่ใช่ด้วยฤทธานุภาพแต่ด้วยวิญญาณของเรา พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสดังนี้แหละ….และข้าพเจ้าถามท่านเป็นครั้งที่สองว่า กิ่งทั้งสองของต้นมะกอกซึ่งอยู่ข้างท่อทองคำทั้งสอง ซึ่งเทน้ำมันออกนั้นคืออะไร..…แล้วท่านจึงกล่าวว่า ทั้งสองนี้คือผู้ที่ได้รับการเจิมเป็นผู้ยืนอยู่ข้างองค์เจ้านายของพิภพทั้งสิ้น’” เศคาริยาห์ 4:1-14 {COL 406.3}COLTh 369.1

    จากกิ่งทั้งสองของต้นมะกอกมีน้ำมันทองคำไหลผ่านออกมาจากท่อทองคำเข้าไปยังชามของเชิงตะกียง และเข้าไปยังตะเกียงทองคำที่ส่องแสงแก่พระวิหาร ดังนั้นพระวิญญาณของพระองค์จะหลั่งจากผู้บริสุทธิ์ที่ยืนต่อพระพักตร์ของพระเจ้าไปยังบรรดามนุษย์ผู้ถวายตัวรับใช้พระองค์ ภารกิจของผู้ได้รับการเจิมทั้งสองคือการสื่อกับประชากรของพระเจ้าในเรื่องพระคุณแห่งสวรรค์ ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับเท้าและความสว่างสำหรับมรรคา “ไม่ใช่ด้วยกำลัง ไม่ใช่ด้วยฤทธานุภาพแต่ด้วยวิญญาณของเรา พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสดังนี้แหละ” เศคาริยาห์ 4:6 {COL 408.1}COLTh 369.2

    ในอุปมานี้ สาวพรหมจารีทั้งสิบออกไปต้อนรับเจ้าบ่าว ทุกคนมีตะเกียงและภาชนะที่ใส่น้ำมัน ในชั่วขณะหนึ่งจะมองไม่เห็นความแตกต่างระหว่างคนทั้งสองกลุ่ม คริสตจักรที่อยู่ก่อนหน้าการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์จะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน ทุกคนมีความรู้พระคัมภีร์ ทุกคนได้ยินเรื่องการเสด็จมาในอีกไม่นานของพระคริสต์และรอคอยการเสด็จมาด้วยความเชื่อมั่น และปัจจุบันเป็นเหมือนในอุปมา ระหว่างที่เฝ้ารอคอยนั้นความเชื่อถูกทดลองและเมื่อเสียงร้องดังขึ้น “เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด” คนจำนวนมากยังไม่พร้อม พวกเขาไม่มีน้ำมันในภาชนะสำหรับใส่ตะเกียง พวกเขาขัดสนพระวิญญาณบริสุทธิ์ {COL 408.2}COLTh 370.1

    หากไม่มีพระวิญญาณของพระเจ้า ความรู้ในพระวจนะของพระเจ้าจะไม่มีประโยชน์อันใด ทฤษฏีแห่งความจริงที่ไม่ได้ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำให้จิตวิญญาณสำนึกในบาปและทำให้จิตใจได้รับการชำระไม่ได้ คนเราอาจจะคุ้นเคยกับคำสั่งสอนและคำสัญญาต่างๆ ของพระคัมภีร์แต่หากไม่มีวิญญาณของพระเจ้าเพื่อช่วยให้เข้าใจในพระวจนะนั้น อุปนิสัยจะไม่เปลี่ยนแปลง หากไม่ได้รับความสว่างจากพระวิญญาณ มนุษย์จะแยกแยะความจริงออกจากความผิดไม่ได้และพวกเขาจะตกลงสู่การทดลองที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมของซาตาน {COL 408.3}COLTh 370.2

    กลุ่มคนที่เปรียบได้กับหญิงพรหมจารีโง่ทั้งหมดนั้นไม่ใช่คนหลอกลวง เขาเหล่านั้นฝักใฝ่ในความจริง พวกเขาสนับสนุนความจริงและเข้าร่วมกับคนทั้งหลายที่เชื่อในความจริงแต่ว่าคนเหล่านั้นไม่ได้มอบถวายตัวเพื่อให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงประกอบกิจในชีวิต พวกเขาไม่ได้ล้มตัวลงบนพระศิลา คือพระเยซูคริสต์และยอมให้ธรรมชาติเก่าแตกสลายไป คนกลุ่มนี้ยังหมายถึงผู้ฟังประเภทพื้นดินที่มีหิน พวกเขาต้อนรับพระธรรมด้วยความเต็มใจ แต่ไม่ยอมให้กฎเกณฑ์ทั้งหลายแทรกซึมเข้าไปในตัวของพวกเขา อิทธิพลของพระธรรมไม่ได้เข้าสนิทในตัวของพวกเขา พระวิญญาณทรงทำงานในจิตใจของมนุษย์ตามความประสงค์และความต้องการของพวกเขาและทำให้พวกเขาเป็นมนุษย์คนใหม่ แต่กลุ่มคนที่เปรียบได้กับหญิงพรหมจารีโง่นั้นมีความพอใจกับกับการกระทำอย่างผิวเผิน พวกเขาไม่รู้จักพระเจ้า ไม่ได้ศึกษาพระลักษณะนิสัยของพระองค์ ไม่ได้สนทนากับพระองค์ ฉะนั้นพวกเขาจึงไม่รู้จักวิธีการไว้วางใจ วิธีวางตัวและวิธีดำเนินชีวิต งานการรับใช้ของพวกเขาถดถอยจนเป็นแต่เพียงพิธีการเท่านั้น “และพวกเขามาหาเจ้าอย่างที่คนทั้งหลายมา และเขามานั่งข้างหน้าเจ้าอย่างประชากรของเรา พวกเขาฟังสิ่งที่เจ้าพูดแต่เขาไม่ยอมทำตามเพราะว่าเขาแสดงความรักด้วยปากของเขา แต่จิตใจของเขามุ่งอยู่ที่ผลกำไรมิชอบของเขา” เอเสเคียล 33:31 อัครทูตเปาโลชี้ให้เห็นว่านี่คือลักษณะพิเศษของผู้ที่มีชีวิตอยู่ก่อนการเสด็จมาของพระเยซูในอีกไม่นานนัก ท่านกล่าวว่า “วาระสุดท้ายนั้นจะเป็นเวลาที่น่ากลัว เพราะผู้คนจะเห็นแก่ตัว..…รักความสนุกมากกว่ารักพระเจ้า ยึดถือทางพระเจ้าแต่เพียงเปลือกนอก แต่ปฏิเสธฤทธิ์เดชของทางนั้นส่วนแก่นแท้ของศาสนาเขาไม่ยอมรับ” 2 ทิโมธี 3:1-5 {COL 411.1}COLTh 370.3

    นี่คือกลุ่มคนที่จะร้องขึ้นแม้ในยามที่มีอันตรายว่าสงบสุขและปลอดภัยแล้ว พวกเขาหลอกลวงจิตใจตนเองว่าปลอดภัยและไม่คิดฝันว่ามีอันตรายใดๆ เมื่อพวกเขาตื่นขึ้นจากความง่วงเหงา พวกเขาจะพบเห็นแต่ความสิ้นเนื้อประดาตัวและขอร้องผู้อื่นให้เติมในสิ่งที่เขาขาด แต่ในเรื่องของฝ่ายจิตวิญญาณไม่มีผู้ใดสามารถเติมส่วนที่ผู้อื่นขาดได้ พระคุณของพระเจ้ายื่นให้จิตวิญญาณของทุกคนโดยไม่คิดมูลค่า ข่าวสารของข่าวประเสริฐประกาศว่า “คนที่กระหายเชิญเข้ามา ใครที่มีใจปรารถนา จงมารับน้ำแห่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย” วิวรณ์ 22:17 แต่อุปนิสัยไม่อาจโอนกันได้ ไม่มีใครเชื่อแทนคนอื่นได้ ไม่มีใครรับพระวิญญาณแทนคนอื่นได้ ไม่มีผู้ใดแบ่งปันอุปนิสัยซึ่งเป็นผลแห่งการกระทำของพระวิญญาณแก่ผู้อื่นได้ “ถึงแม้ว่าโนอาห์ ดาเนียลและโยบอยู่ในนั้น พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า เรามีชีวิตอยู่แน่อย่างไร พวกเขาก็ไม่อาจช่วยบุตรชายและบุตรสาวให้รอดได้ พวกเขาจะช่วยเฉพาะชีวิตของเขาได้ด้วยความชอบธรรมของเขา” เอเสเคียล 14:20 {COL 411.2}COLTh 371.1

    ในห้วงเวลาวิกฤตที่อุปนิสัยจะแสดงออกมา เมื่อเสียงร้องประกาศขึ้นอย่างจริงจังในยามเที่ยงคืนว่า “เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด” และสาวพรหมจารีถูกปลุกให้ตื่นจากหลับ ทำให้เห็นว่าผู้ใดพร้อมสำหรับงานนี้ คนทั้งสองกลุ่มตกอยู่ในสภาพไม่รู้ตัว แต่ฝ่ายหนึ่งมีการเตรียมสำหรับเหตุฉุกเฉินแต่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้เตรียมพร้อม ปัจจุบันก็เช่นเดียวกัน เหตุหายนะที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เป็นสิ่งที่จะนำจิตวิญญาณให้เผชิญหน้ากับความตาย จะทำให้เห็นว่าบุคคลผู้นั้นมีความเชื่อที่แท้จริงในพระสัญญาของพระเจ้าหรือไม่ จะแสดงให้เห็นว่าจิตวิญญาณนั้นได้รับการค้ำจุนด้วยพระคุณหรือไม่ การทดสอบครั้งสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่จะมาถึงเมื่อใกล้หมดเวลาของมนุษย์และจะสายเกินไปในการเติมความต้องการให้จิตวิญญาณ {COL 412.1}COLTh 372.1

    สาวพรหมจารีสิบคนกำลังเฝ้ารอในยามค่ำคืนประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้ ทุกคนอ้างตนเป็นคริสเตียน ทุกคนได้รับการทรงเรียก มีชื่อ มีตะเกียงและทุกคนต่างแสดงตนรับใช้พระเจ้า ทุกคนต่างรอคอยการเสด็จมาของพระคริสต์ แต่มีห้าคนที่ไม่พร้อม ห้าคนนี้จะตกตะลึง เศร้าโศกและอยู่นอกห้องจัดงานเลี้ยง {COL 412.2}COLTh 372.2

    ในวันสุดท้าย คนจำนวนมากจะอ้างตนเพื่อขอเข้าไปยังแผ่นดินของพระเจ้าโดยกล่าวว่า “เราเคยกินดื่มกับนาย และนายก็เคยสั่งสอนที่ถนนของเรา” “องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้เผยพระวจนะในนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้กระทำการแห่งฤทธานุภาพมากมายในพระนามของพระองค์ไม่ใช่หรือ” แต่คำตอบที่จะตามมาคือ “เราไม่รู้ว่าพวกเจ้าที่ทำความชั่วมาจากไหน จงไปให้พ้นหน้าเรา” ลูกา 13:26 มัทธิว 7:22 ลูกา 13:27 ในชีวิตนี้ พวกเขาไม่ได้ติดสนิทกับพระคริสต์ ฉะนั้นเขาจึงไม่รู้จักภาษาแห่งสวรรค์ และพวกเขาเป็นคนแปลกหน้าในความชื่นชมยินดีของสวรรค์ “อันความคิดของมนุษย์นั้น จะมีใครหยั่งรู้ได้ถ้าไม่ใช่จิตวิญญาณของมนุษย์คนนั้นเอง พระดำริของพระเจ้าก็ไม่มีใครหยั่งรู้ได้เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้าเช่นกัน” 1โครินธ์ 2:11 {COL 412.3}COLTh 372.3

    ประโยคเศร้าสลดที่สุดที่หูมนุษย์จะพึงได้ยินคือถ้อยคำแห่งความพินาศที่กล่าวว่า “เราไม่รู้จักเจ้า” ความสนิทสนมกับพระวิญญาณซึ่งท่านดูแคลนนั้น เป็นสิ่งเดียวที่นำท่านเข้าสู่ความสุขของงานเลี้ยงพิธีสมรสได้ เป็นภาพเหตุการณ์ที่ท่านไม่อาจเข้าร่วมได้ แสงสว่างนั้นส่องถูกตาที่มืดบอด เสียงเพลงดังเข้าไปในหูที่หนวก ความรักและความสุขไม่อาจปลุกเสียงแห่งความชื่นชมออกมาจากหัวใจที่ทำให้ชาด้านด้วยการฝักใฝ่ในทางโลกได้ ท่านถูกขับออกไปจากสวรรค์เพราะความไม่เหมาะสมของตัวท่านที่จะเข้าไปมีส่วนร่วม {COL 413.1}COLTh 373.1

    เราเตรียมตัวให้พร้อมต้อนรับพระเจ้าโดยการตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงร้องว่า “เจ้าบ่าวมาแล้ว” ไม่ได้ และเอาตะเกียงว่างเปล่าไปเติมน้ำมัน เราแยกพระคริสต์จากชีวิตของเราที่นี่และยังเป็นคนที่พร้อมไปอยู่ร่วมกับพระองค์บนสรวงสวรรค์ไม่ได้ {COL 413.2}COLTh 373.2

    ในอุปมา สาวพรหมจารีผู้ฉลาดจะมีน้ำมันอยู่ในภาชนะพร้อมตะเกียง แสงสว่างจ้าจากเปลวไฟที่ไม่มีการหรี่ลงตลอดคืนแห่งการรอคอยเป็นความสว่างที่ให้เกียรติแก่เจ้าบ่าว เป็นแสงสว่างในความมืดที่ช่วยนำทางไปสู่บ้านของเจ้าบ่าวและเข้าร่วมงานเลี้ยงได้ {COL 414.1}COLTh 373.3

    ด้วยเหตุนี้ ผู้ติดตามพระคริสต์ต้องส่องแสงสว่างกลบความมืดของโลก พระธรรมของพระเจ้าเป็นแสงสว่างเป็นฤทธิ์เดชเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้รับเชื่อโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อปลูกฝังกฎเกณฑ์แห่งพระธรรมของพระเจ้าไว้ในจิตใจของเขาแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงพัฒนาคุณงามความดีของพระเจ้าในมนุษย์ แสงแห่งพระสง่าราศรีของพระองค์คือพระลักษณะนิสัยของพระองค์ที่จะฉายแสงบรรดาผู้ติดตามพระองค์ ด้วยเหตุนี้ เขาทั้งหลายจึงถวายพระสง่าราศรีแด่พระเจ้าเพื่อส่องสว่างตามทางไปสู่บ้านของเจ้าบ่าว ซึ่งเป็นเมืองของพระเจ้า สู่งานเลี้ยงสมรสของพระเมษโปดก{COL 414.2}COLTh 373.4

    เจ้าบ่าวมาถึงเที่ยงคืนซึ่งเป็นเวลาที่มืดที่สุด ดังนั้นการเสด็จมาของพระคริสต์จะเกิดขึ้นในขณะที่โลกตกอยู่ในความมืดมนที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา สมัยของโนอาห์และโลทเป็นภาพแสดงถึงสภาพของโลกเพียงชั่วครู่ก่อนการเสด็จมาของพระบุตรของมนุษย์ พระธรรมบันทึกล่วงหน้าในเวลาเช่นนี้ว่า ซาตานจะทุ่มทำงานสุดตัวและด้วย “อุบายชั่วทุกอย่าง” 2 เธสะโลนิกา 2:9, 10 ผลงานของซาตานแสดงออกง่ายๆ ให้เห็นถึงความมืดมนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ความผิดเพี้ยนอย่างมากมายหลายรูปแบบ ความเชื่อผิดๆ ในศาสนาและความหลอกลวงต่างๆ ของวาระสุดท้าย ซาตานไม่เพียงแต่จะครอบงำโลกนี้เท่านั้น แต่การหลอกลวงของมันส่งผลต่อคริสตจักรที่มีความเชื่อในพระเยซูคริสต์อีกด้วย การละทิ้งศาสนาครั้งที่ยิ่งใหญ่จะพัฒนาขึ้นเป็นความมืดมนเหมือนความมืดยามเที่ยงคืน เหมือนผ้ากระสอบดำที่แสงผ่านไม่ได้ สำหรับประชากรของพระเจ้าแล้วจะเป็นค่ำคืนแห่งการทดลอง ค่ำคืนแห่งการร่ำไห้ ค่ำคืนแห่งการกดขี่ข่มเหงเพื่อให้เห็นความจริง แต่แสงสว่างของพระเจ้าจะส่องสว่างผ่านความมืดมิดยามค่ำคืนเช่นนี้ได้ {COL 414.3}COLTh 373.5

    พระองค์ทรงดลบันดาลให้ “ความสว่างออกมาจากความมืด” 2 โครินธ์ 4:6 เมื่อ “ แผ่นดินก็ร้างและว่างเปล่า ความมืดอยู่เหนือน้ำ และพระวิญญาณของพระเจ้าทรงปกอยู่เหนือน้ำนั้น พระเจ้าตรัสว่า จงเกิดความสว่าง ความสว่างก็เกิดขึ้น” ปฐมกาล 1:2 , 3 ดังนั้นในค่ำคืนที่มืดแห่งฝ่ายวิญญาณ พระวจนะของพระเจ้าจะประกาศออกมาว่า “จงเกิดความสว่าง” พระองค์ตรัสกับประชากรของพระองค์ว่า “จงลุกขึ้นฉายแสง เพราะว่าความสว่างของเจ้ามาแล้วและพระสิริของพระยาห์เวห์ขึ้นมาเหนือเจ้า” อิสยาห์ 60:1 {COL 415.1}COLTh 374.1

    พระวจนะกล่าวว่า “ดูสิ ความมืดจะปกคลุมแผ่นดินโลกและความมืดทึบคลุมชนชาติทั้งหลาย แต่พระยาห์เวห์จะทรงขึ้นมาเหนือเจ้าและพระสิริของพระองค์จะปรากฎเหนือเจ้า” อิสยาห์ 60:2 {COL 415.2}COLTh 374.2

    ความมืดมนแห่งการเข้าใจพระเจ้าผิดกำลังครอบงำโลกไว้ มนุษย์กำลังสูญเสียความรู้ในพระลักษณะของพระองค์ มีการเข้าใจผิดและอธิบายผิดๆ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เวลานี้เราจะต้องประกาศข่าวที่มาจากพระเจ้า เป็นข่าวสารที่มีอำนาจชักจูงและมีฤทธิ์แห่งการช่วยให้รอด จะต้องให้คนรับรู้เรื่องพระลักษณะของพระองค์ จะต้องส่องแสงสว่างแห่งพระสิริ แสงสว่างแห่งความดี พระกรุณาคุณและความจริงเข้าไปในความมืดมนของโลก {COL 415.3}COLTh 374.3

    ภารกิจนี้ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์บันทึกไว้ว่า “โอ เยรูซาเล็มผู้นำข่าวดี จงเปล่งเสียงเถิด อย่ากลัวเลย จงพูดกับเมืองทั้งหลายของยูดาห์ว่า ‘ดูเถิด พระเจ้าของพวกเจ้า’ ดูสิ พระยาห์เวห์ องค์เจ้านายเสด็จมาด้วยอานุภาพและพระกรของพระองค์ครอบครองเพื่อพระองค์ นี่แน่ะ รางวัลของพระองค์ก็อยู่กับพระองค์ และค่าตอบแทนของพระองค์ก็อยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์” อิสยาห์ 40:9, 10{COL 415.4}COLTh 375.1

    ผู้ที่กำลังรอคอยการเสด็จมาของเจ้าบ่าวจะต้องประกาศให้ผู้อื่นรู้ว่า “ดูเถิด พระเจ้าของพวกเจ้า” ลำแสงสุดท้ายของแสงแห่งความเมตตา ข่าวสุดท้ายแห่งความเมตตาที่จะต้องประกาศแก่ชาวโลกนั้น เป็นการเปิดเผยถึงพระลักษณะนิสัยแห่งรักของพระองค์ บุตรทั้งหลายของพระเจ้าจะต้องแสดงออกถึงพระสิริของพระองค์ ด้วยชีวิตและอุปนิสัยของเขาเอง พวกเขาจะต้องแสดงออกให้เห็นว่าพระคุณของพระเจ้าทรงประกอบกิจอันใดให้แก่พวกเขา {COL 415.5}COLTh 375.2

    แสงจากดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมจะต้องฉายออกมาด้วยการทำคุณประโยชน์ ทั้งในคำพูดแห่งความจริงและการกระทำที่บริสุทธิ์ {COL 416.1}COLTh 375.3

    พระคริสต์ผู้ทรงเป็นแสงสว่างแห่งพระสิริของพระบิดาเสด็จมาเพื่อเป็นแสงสว่างแก่โลก พระองค์เสด็จมาเพื่อเปิดเผยพระบิดาให้มนุษย์รู้จักและพระวจนะบันทึกถึงพระองค์ว่า พระองค์ทรงรับการเจิม “ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยฤทธานุภาพ” และ “เสด็จไปทำคุณประโยชน์” กิจการ 10:38 พระองค์ตรัสในธรรมศาลาเมืองนาซาเร็ธว่า “พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาประกาศอิสรภาพแก่พวกเชลย ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับให้เป็นอิสระ และประกาศปีแห่งความโปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า’ ลูกา 4:18, 19 นี่คือภารกิจที่พระองค์ทรงมอบหมายให้อัครสาวกทำ พระองค์ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก” “จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาทั้งหลายได้เห็นความดีที่ท่านทำ พวกเขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์” มัทธิว 5:14 , 16 {COL 416.2}COLTh 375.4

    นี่คือภารกิจซึ่งผู้เผยพระวจนะอิสยาห์บรรยายไว้ว่า “คือการแบ่งอาหารของเจ้ากับคนหิว การนำคนยากจนไร้บ้านเข้ามาในบ้านไม่ใช่หรือ และเมื่อเห็นคนเปลือยกายก็คลุมกายเขาไว้ ทั้งไม่ซ่อนตัวเจ้าจากญาติของเจ้าไม่ใช่หรือ แล้วความสว่างจะพุ่งออกมาแก่เจ้าเหมือนรุ่งอรุณและการรักษาแผลของเจ้าจะมีขึ้นอย่างรวดเร็ว ความชอบธรรมของเจ้าจะเดินนำหน้าเจ้าและพระสิริของพระยาห์เวห์จะระวังหลังเจ้า” อิสยาห์ 58:7, 8 {COL 417.1}COLTh 376.1

    พระสิริของพระเจ้าจะฉายแสงผ่านคริสตจักรของพระองค์ในคืนที่มืดมนฝ่ายจิตวิญญาณ เพื่อยกชูผู้ที่เป็นทุกข์และปลอบประโลมใจผู้ที่โศกเศร้า {COL 417.2}COLTh 376.2

    มีเสียงร้องคร่ำครวญของชาวโลกอยู่รอบๆ ตัวเรา มีผู้ขัดสนและทุกข์ยากทั่วทุกแห่ง เป็นหน้าที่ของเราที่จะช่วยบรรเทาและทำให้ความทุกข์ระทมเบาบางลง {COL 417.3}COLTh 376.3

    การลงมือทำงานจะให้ผลมากยิ่งกว่าการเทศนา เราจะต้องให้อาหารแก่ผู้ที่หิว ให้เสื้อผ้าแก่ผู้ที่เปลือยกายและให้ที่อยู่อาศัยแก่ผู้ที่ไม่มีบ้าน และเราได้รับการทรงเรียกให้ทำมากกว่านี้ ความรักของพระคริสต์เท่านั้นที่จะประทานความพึงพอใจให้กับผู้ขัดสนทางฝ่ายจิตวิญญาณได้ หากพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา ใจของเราจะเต็มเปี่ยมด้วยความเห็นใจจากสวรรค์ บ่อน้ำพุที่เต็มด้วยรักอย่างจริงใจแบบพระคริสต์จะสำแดงออกมา {COL 417.4}COLTh 376.4

    พระเจ้าไม่ได้ทรงเรียกให้เราเพียงแค่แบ่งปันสิ่งของแก่ผู้ที่ต้องการ แต่ยังทรงเรียกให้เราแบ่งปันสีหน้าที่ร่าเริงสดใส คำพูดที่ให้ความหวังและการสัมผัสที่อ่อนโยน เมื่อพระคริสต์ทรงรักษาผู้ป่วย พระองค์ทรงวางพระหัตถ์ลงบนพวกเขา เราจึงต้องเข้ามาใกล้ผู้ที่เราต้องการให้เขาได้รับประโยชน์ {COL 418.1}COLTh 376.5

    ความหวังของคนจำนวนมากสูญหายไป ขอให้นำแสงสว่างกลับคืนมายังพวกเขา หลายคนสูญเสียกำลังใจ ขอให้พูดหนุนใจพวกเขา อธิษฐานเผื่อเขา ยังมีคนที่ต้องการอาหารแห่งชีวิต ขอให้อ่านพระคำของพระเจ้าให้พวกเขาฟัง มีคนจำนวนมากป่วยด้วยโรคฝ่ายวิญญาณที่ไม่มียาจะเข้าถึงหรือแพทย์คนใดที่จะรักษาได้ อธิษฐานเผื่อจิตวิญญาณเหล่านี้ นำพวกเขามายังพระเยซู บอกให้พวกเขาทราบว่ามีพิมเสนในกิเลอาดและมีพระเจ้าผู้ทรงเป็นแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่อยู่ที่นั่น {COL 418.2}COLTh 376.6

    แสงสว่างเป็นพระพร เป็นพระพรครอบจักรวาล ซึ่งเทสมบัติล้ำค่าลงมายังบรรดาผู้ที่ไม่รู้ซึ้งในพระคุณ ผู้ที่ไม่บริสุทธิ์และผู้ไร้ศีลธรรม แสงสว่างจากดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ความมืดของบาป ความทุกข์และความเจ็บปวดห่อหุ้มโลกทั้งใบนี้ไว้ โลกจะต้องได้รับความสว่างจากความรู้ในความรักของพระเจ้า ไม่มีนิกายศาสนา ยศศักดิ์หรือชนชั้นใดๆ จะมากีดกันแสงสว่างที่ฉายมาจากพระที่นั่งบนสรวงสวรรค์ของพระเจ้าได้ {COL 418.3}COLTh 377.1

    เราจะต้องประกาศข่าวสารแห่งความหวังและพระคุณไปยังที่สุดปลายแผ่นดินโลก คนที่ต้องการจะยื่นมือมารับพระกำลังของพระเจ้าและสร้างสันติภาพกับพระองค์ ความมืดยามเที่ยงคืนจะไม่ห่อหุ้มคนนอกศาสนาอีกต่อไป ความมืดมนจะหายไปเมื่อความสว่างของดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมส่องมา และมีชัยชนะเหนืออำนาจแดนนรก {COL 418.4}COLTh 377.2

    ไม่มีใครแบ่งปันได้ถ้าเขายังไม่ได้รับ ในพระราชกิจของพระเจ้า มนุษย์สร้างสิ่งใดไม่ได้เลย ไม่มีผู้ใดเป็นแสงสว่างของพระเจ้าได้ด้วยความสามารถของเขาเอง แต่เกิดจากน้ำมันทองคำที่ผู้สื่อข่าวจากสวรรค์เทไหลผ่านท่อทองคำไปยังชามทองคำและไหลต่อไปยังตะเกียงในวิหาร ซึ่งจะฉายแสงให้สว่างอย่างต่อเนื่อง นั่นคือความรักของพระเจ้าที่ส่งผ่านมายังมนุษย์อย่างต่อเนื่องซึ่งจะช่วยให้เขาฉายแสงได้ น้ำมันทองคำแห่งความรักของพระเจ้าจะไหลต่อเนื่องไปสู่ดวงใจทุกคนที่ติดสนิทกับพระเจ้าโดยความเชื่อ เพื่อให้เขาฉายแสงในการประพฤติดี เป็นการรับใช้พระเจ้าสุดจิตสุดใจอย่างแท้จริง {COL 418.5}COLTh 377.3

    ทรัพย์สินทั้งหมดในสวรรค์สำแดงในของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์อันยิ่งใหญ่และมีมากมายเหลือล้น ไม่ใช่ว่าจะมีส่วนใดของพระเจ้าที่จะคอยกีดกั้นความมั่งคั่งของพระสิริของพระองค์ไว้ไม่ให้ไหลผ่านมายังโลกไปสู่มนุษย์ แต่หากทุกคนยินดีรับ เขาเหล่านั้นจะเปี่ยมล้นด้วยพระวิญญาณของพระองค์ {COL 419.1}COLTh 377.4

    เป็นอภิสิทธิ์พิเศษสำหรับจิตวิญญาณทุกดวงในการเป็นท่อพระพรอันมีชีวิตที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อส่งขุมทรัพย์แห่งพระคุณที่เป็นความมั่งคั่งในพระคริสต์ผ่านไปยังโลกได้ ไม่มีสิ่งใดที่พระคริสต์ทรงหวังไปมากกว่าผู้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของพระองค์ ในการเป็นตัวแทนของพระวิญญาณและพระลักษณะของพระองค์ ไม่มีสิ่งใดที่โลกต้องการมากไปกว่าการสำแดงความรักของพระผู้ช่วยผ่านมายังมนุษย์ทั้งหลาย สวรรค์กำลังรอคอยผู้ที่จะเป็นท่อที่สามารถรับน้ำมันอันบริสุทธิ์ไหลไปเพื่อให้ความสุขและพระพรแก่จิตใจของมนุษย์ {COL 419.2}COLTh 378.1

    พระคริสต์ทรงจัดเตรียมทุกสิ่งไว้เพื่อให้คริสตจักรของพระองค์เป็นกลุ่มชนที่ได้รับการเปลี่ยนแปลง สว่างไสวไปด้วยความสว่างของพระองค์และมีพระสิริของอิมมานูเอล พระองค์ทรงประสงค์ที่จะให้บรรยากาศแห่งความสว่างและสันติสุขของพระองค์ล้อมรอบคริสเตียนทุกคน พระองค์ทรงหวังให้เราเปิดเผยความสุขของพระองค์ในชีวิตของเรา {COL 419.3}COLTh 378.2

    เมื่อพระวิญญาณสถิตอยู่ในเรา เราจะแสดงออกด้วยความรักแห่งสวรรค์ที่หลั่งลงมาจากเบื้องบน ความบริบูรณ์แห่งพระเจ้าจะไหลผ่านมนุษย์ผู้ได้รับการชำระแล้วผ่านไปยังคนอื่น {COL 419.4}COLTh 378.3

    ดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมมี “ปีกรักษาโรคภัย” มาลาคี 4:2 ดังนั้นอิทธิพลที่มีต่อชีวิต ความกล้าหาญ ความช่วยเหลือผู้อื่นและการรักษาที่ได้ผลจะแพร่กระจายออกจากสาวกที่ซื่อสัตย์ทุกคน {COL 419.5}COLTh 378.4

    ศาสนาของพระคริสต์มีความหมายมากยิ่งกว่าการอภัยจากบาป เรื่องนี้หมายถึงการนำบาปออกไป และเติมช่องว่างให้เต็มด้วยพระคุณของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หมายถึงการรับแสงสว่างจากพระเจ้าและมีความชื่นชมยินดีในพระองค์ หมายถึงหัวใจที่ไม่มีความเห็นแก่ตัว และเต็มล้นด้วยพระพรของการสถิตอยู่ของพระคริสต์ เมื่อพระคริสต์ทรงครอบครองจิตวิญญาณ จะมีแต่ความบริสุทธิ์และอิสรภาพจากบาป พระสิริ ความบริบูรณ์ ความสมบูรณ์ของแผนการของข่าวประเสริฐจะสำเร็จในชีวิต การยอมรับพระผู้ช่วยให้รอดจะเปล่งแสงแห่งสันติสุข ความรักและความมั่นใจที่สมบูรณ์แบบ ความงดงามและกลิ่นหอมของพระลักษณะนิสัยของพระคริสต์ที่แสดงออกในชีวิตจะเป็นพยานว่าพระเจ้าประทานพระบุตรของพระองค์เข้ามาในโลกเพื่อเป็นพระผู้ช่วยของโลกอย่างแท้จริง {COL 419.6}COLTh 378.5

    พระคริสต์ไม่ได้เชิญชวนผู้ติดตามให้พยายามส่องแสงสว่าง พระองค์ตรัสว่าหากท่านได้รับพระคุณของพระเจ้า แสงสว่างจะอยู่ในตัวท่าน จงขจัดสิ่งกีดขวางไปเสียแล้วสง่าราศรีของพระเจ้าจะถูกเปิดเผยออกมา แสงนั้นจะส่องสว่างทะลุและขับไล่ความมืดออกไป ท่านหยุดยั้งแสงสว่างที่ส่องออกมาจากแวดวงอิทธิพลของท่านไม่ได้ {COL 420.1}COLTh 379.1

    การเปิดเผยพระสิริของพระองค์ในสภาพมนุษย์จะนำสวรรค์ลงมาอยู่ใกล้มนุษย์มากจนความงดงามที่ครอบครองจิตใจจะแสดงออกจากจิตวิญญาณทุกดวงที่มีพระผู้ช่วยสถิตอยู่ พระสิริของการร่วมสถิตของพระคริสต์จะควบคุมมนุษย์ และในกระแสแห่งการสรรเสริญและการขอบพระคุณจากผู้ที่กลับมาหาพระเจ้า พระสิริจะไหลกลับสู่พระผู้ประทานยิ่งใหญ่ {COL 420.2}COLTh 379.2

    “จงลุกขึ้น ฉายแสงเพราะว่าความสว่างของเจ้ามาแล้ว” อิสยาห์ 60:1 ข่าวนี้มีไว้สำหรับผู้ที่ออกไปต้อนรับเจ้าบ่าว พระคริสต์จะเสด็จมาด้วยอำนาจและสง่าราศรีอันยิ่งใหญ่ พระองค์จะเสด็จมาด้วยสง่าราศรีของพระองค์และพระสิริของพระบิดา พระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับบรรดาทูตสวรรค์บริสุทธิ์ ในขณะที่โลกตกอยู่ในสภาพมืดมน จะมีแสงอยู่ในผู้ชอบธรรมทุกคน พวกเขาจะมองเห็นแสงสว่างแรกของการปรากฏของพระองค์ แสงที่ไม่มีมลทินจะส่องออกมาด้วยความยิ่งใหญ่ของพระองค์ และพระคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดจะได้รับการเยินยอจากผู้ที่ปรนนิบัติพระองค์ ในขณะที่คนชั่ววิ่งหนีจากพระพักตร์ของพระองค์ ผู้ติดตามของพระคริสต์จะชื่นชมยินดี โยบบรรพบุรุษในอดีต ขณะที่มองไปสู่ยุคของการเสด็จมาของพระคริสต์กล่าวว่า “ผู้ซึ่งข้าจะได้เห็นเองและดวงตาของข้าจะได้เห็นไม่ใช่คนอื่น” โยบ 19:27 สำหรับผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์ของพระคริสต์ พระองค์ทรงเป็นมิตรร่วมเดินทางและสหายที่คุ้นเคย พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ ติดต่อสัมพันธ์กับพระองค์เสมอ รัศมีของพระเจ้าฉายขึ้นเหนือเขา แสงสว่างแห่งความรู้ของพระสิริของพระเจ้าสะท้อนจากพระพักตร์ของพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเขา บัดนี้พวกเขาชื่นชอบกับแสงสว่างอันสว่างไสวแห่งความสว่าง และพระสิริของจอมราชัน พวกเขาเตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่การชุมนุมของสวรรค์ เพราะพวกเขามีสวรรค์อยู่ในใจ {COL 420.3}COLTh 379.3

    ด้วยศีรษะที่ผงกขึ้น ด้วยลำแสงจ้าของดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมที่ส่องสว่างอยู่บนพวกเขา ด้วยการชื่นชมที่ความรอดเข้ามาใกล้ ทุกคนจะมุ่งหน้าไปต้อนรับเจ้าบ่าวและพูดว่า “ดูสิ นี่คือพระเจ้าของเรา เรารอคอยพระองค์ เพื่อพระองค์จะทรงช่วยเราให้รอด” อิสยาห์ 25:9 {COL 421.1}COLTh 380.1

    แล้วข้าพเจ้าได้ยินเสียงเหมือนอย่างเสียงมหาชน เหมือนอย่างเสียงน้ำมากหลายและเหมือนอย่างเสียงฟ้าร้องกึกก้องว่า ‘อาเลลูยา เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงครอบครองอยู่ คือพระเจ้าของเราผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ขอให้เรายินดีและเปรมปรีดิ์ และถวายพระเกียรติแด่พระองค์ เพราะงานอภิเษกสมรสของพระเมษโปดกมาถึงแล้ว และเจ้าสาวของพระองค์ก็เตรียมตัวพร้อมแล้ว’.......และทูตสวรรค์องค์นั้นบอกข้าพเจ้าว่าจง ‘เขียนลงไปว่า ความสุขมีแก่คนทั้งหลายที่ได้รับเชิญมาในงานเลี้ยงอภิเษกสมรสของพระเมษโปดก’” “พระองค์ทรงเป็นเจ้านายเหนือเจ้านายทั้งหลายและทรงเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลายและพวกที่อยู่กับพระองค์นั้นก็เป็นพวกที่ได้รับการทรงเรียกและได้รับการทรงเลือก และเป็นพวกที่ซื่อสัตย์” วิวรณ์ 19:6-9,17:14 {COL 421.2}COLTh 380.2

    *****

    Larger font
    Smaller font
    Copy
    Print
    Contents