Loading...
Larger font
Smaller font
Copy
Print
Contents
อุทาหรณ์จากคำสอนของพระคริสต์ - Contents
  • Results
  • Related
  • Featured
No results found for: "".
  • Weighted Relevancy
  • Content Sequence
  • Relevancy
  • Earliest First
  • Latest First

    บทที่ 27 - “ใครเป็นเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า”

    อ้างอิงจาก ลูกา 10:25—37

    ในหมู่ชาวยิว คำถามที่ว่า “ใครเป็นเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า” ลูกา 10:29 ทำให้เกิดการถกเถียงกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พวกเขาไม่สงสัยในเรื่องที่พูดถึงคนต่างชาติและชาวสะมาเรีย คนเหล่านี้เป็นคนแปลกหน้าและเป็นศัตรู แต่เส้นแบ่งเขตระหว่างคนชาติเดียวกันและระหว่างคนแต่ละชนชั้นของสังคมอยู่ที่ไหน พวกปุโรหิต รับบี ผู้อาวุโส ควรถือว่าใครเป็นเพื่อนบ้าน พวกเขาใช้เวลาตลอดชีวิตวนเวียนอยู่กับพิธีกรรมที่จะทำให้ตนเองเป็นคนบริสุทธิ์ พวกเขาสอนว่าการแตะต้องฝูงชนที่โง่เขลาและเลินเล่อ จะทำให้เป็นมลทินซึ่งจะต้องใช้ความพยายามอย่างเหน็ดเหนื่อยจึงจะขจัดมลทินนั้นไปได้ พวกเขาควรจะถือว่าคน “มลทิน” เป็นเพื่อนบ้านอย่างนั้นหรือ {COL 376.1}COLTh 339.1

    คำถามนี้พระคริสต์ทรงตอบด้วยอุปมาเรื่องชาวสะมาเรีย พระองค์ทรงชี้ให้เห็นว่าเพื่อนบ้านของเราไมได้หมายถึงคริสตจักรหรือความเชื่ออย่างเดียวกันที่เรามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ไม่ได้มีการอ้างถึงความแตกต่างในเผ่าพันธุ์ สีผิวหรือชนชั้น เพื่อนบ้านของเราคือทุกคนที่ต้องการความช่วยเหลือจากเรา เพื่อนบ้านของเราคือจิตวิญญาณทุกดวงที่บาดเจ็บและฟกช้ำจากการกระทำของศัตรู เพื่อนบ้านของเราคือทุกคนที่เป็นสมบัติของพระเจ้า {COL 376.2}COLTh 340.1

    อุปมาเรื่องชาวสะมาเรียผู้ใจดีเป็นคำตอบของคำถามที่ผู้เชี่ยวชาญทางบัญญัติทูลถามพระคริสต์ ขณะที่พระผู้ช่วยกำลังสั่งสอนอยู่ “มีผู้เชี่ยวชาญบัญญัติคนหนึ่งยืนขึ้นทดลองพระองค์ ทูลถามว่า ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไรเพื่อจะได้รับชีวิตนิรันดร์” ลูกา 10:25 พวกฟาริสีเสนอแนะคำถามนี้แก่นักกฎหมายคนนี้ โดยหวังที่จะให้พระคริสต์ติดกับดักในคำพูดของตนเองและพวกเขารอคอยคำตอบด้วยใจจดจ่อแต่พระผู้ช่วยให้รอดไม่ก้าวเข้าสู่ความขัดแย้ง พระองค์ทรงต้องการคำตอบจากตัวผู้ถามเองโดยถามว่า “ ในธรรมบัญญัติเขียนว่าอย่างไร ท่านอ่านแล้วเข้าใจอย่างไร” ลูกา 10:26 ชาวยิวยังคงกล่าวหาพระเยซูว่าไม่ได้นับถือบัญญัติที่ประทานให้จากภูเขาซีนาย แต่พระองค์ก็หันเหปัญหาเรื่องความรอดไปสู่เรื่องการถือรักษาพระบัญญัติของพระเจ้า {COL 377.1}COLTh 340.2

    นักกฎหมายคนนั้นจึงตอบว่า “พวกท่านจงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่าน ด้วยสุดจิตของท่าน ด้วยสุดกำลังของท่าน และด้วยสุดความคิดของท่าน และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” พระคริสต์ตรัสว่า “ท่านตอบถูกแล้ว จงไปทำอย่างนั้นแล้วจะได้ชีวิต” ลูกา 10:27, 28 {COL 377.2}COLTh 340.3

    นักกฎหมายผู้นี้ไม่พอใจกับตำแหน่งและการทำงานของพวกฟาริสี เขาศึกษาพระคัมภีร์ด้วยความอยากรู้ความหมายที่แท้จริง เขามีความสนใจในเรื่องนี้เป็นอย่างสูงและเขาทูลขึ้นด้วยความจริงใจว่า “ ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไร” ในคำตอบของเขาอันเกี่ยวเนื่องกับเงื่อนไขของพระบัญญัตินั้น เขาก้าวข้ามกฎบัญญัติต่างๆ ของแบบแผนและพิธีกรรม เขาถือว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีคุณค่า แต่ได้เสนอหลักการอันยิ่งใหญ่สองประการซึ่งเป็นพื้นฐานของพระบัญญัติและคำสอนของผู้เผยพระวจนะ คำชมเชยของพระผู้ช่วยสำหรับคำถามนี้ทำให้พระองค์เป็นฝ่ายได้เปรียบพวกรับบี พวกเขาไม่อาจตำหนิพระองค์ในเรื่องของการกล่าวโทษกฎบัญญัติซึ่งนักตีความหมายพระบัญญัติคิดค้นออกมา {COL 377.3}COLTh 340.4

    พระคริสต์ตรัสว่า “จงไปทำอย่างนั้นแล้วจะได้ชีวิต” ในการสั่งสอนของพระองค์ พระคริสต์ทรงกล่าวอยู่เสมอว่าพระบัญญัตินั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับความเป็นพระเจ้า ทรงแสดงให้เห็นว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาบัญญัติข้อหนึ่งแต่ทำผิดอีกข้อหนึ่ง เพราะบัญญัติทุกข้อมีหลักการเดียวกัน ชะตากรรมของมนุษย์ถูกตัดสินจากการที่เขามีความเชื่อฟังและปฏิบัติตามบัญญัติทั้งหมดของพระเจ้า {COL 377.4}COLTh 341.1

    พระคริสต์ทรงทราบดีว่าไม่มีผู้ใดปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้าด้วยกำลังของตนเองได้ พระองค์ทรงมีความปรารถนาที่จะนำนักกฎหมายผู้นี้ค้นให้เห็นอย่างชัดเจนและเอาจริงเอาจังเพื่อเขาจะพบความจริง เราจะรักษาพระบัญญัติได้โดยการยอมรับความดีงามและพระคุณของพระคริสต์เท่านั้น ความเชื่อในเรื่องเครื่องบูชาลบบาปทำให้มนุษย์ที่ล้มลงในบาปสามารถรักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจและรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง {COL 378.1} COLTh 341.2

    นักกฎหมายคนนี้รู้ดีว่าเขาไม่ได้รักษาไม่ว่าจะเป็นพระบัญญัติสี่ข้อแรกหรือหกข้อหลัง เขาถูกตัดสินด้วยพระดำรัสที่พินิจพิเคราะห์ของพระคริสต์ แต่แทนที่เขาจะสารภาพบาปของตนเอง เขากลับพยายามหาข้อแก้ตัว แทนที่เขาจะยอมรับความจริง เขากลับพยายามแสดงให้เห็นว่าการที่จะปฏิบัติตามพระบัญญัตินั้นยากเพียงใด ดังนั้นเขาทั้งหวังที่จะหลบจากการถูกตัดสินลงโทษและพิสูจน์ตัวเองในสายตาของคนทั้งปวง พระดำรัสของพระผู้ช่วยให้รอดแสดงให้เห็นว่าไม่จำเป็นต้องถามเช่นนี้ในเมื่อเขาสามารถตอบคำถามด้วยตัวเองอยู่แล้ว ถึงกระนั้นเขาก็เพิ่มคำถามอีกข้อหนึ่งว่า “ใครเป็นเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า” ลูกา 10:29 {COL 378.2}COLTh 341.3

    อีกครั้งหนึ่ง พระคริสต์ทรงปฏิเสธที่จะเข้าสู่การโต้แย้ง พระองค์ทรงตอบคำถามด้วยการเล่าเหตุการณ์ซึ่งเป็นภาพเหตุการณ์ที่ยังอยู่ในความทรงจำของผู้ฟัง พระองค์ตรัสว่า “มีชายคนหนึ่งลงจากกรุงเยรูซาเล็ม ไปยังเมืองเยรีโคและเขาถูกพวกโจรปล้น พวกโจรแย่งชิงเสื้อผ้าของเขา ทุบตีเขา แล้วทิ้งเขาไว้ในสภาพที่เกือบจะตายแล้ว” ลูกา 10:30 {COL 379.1}COLTh 342.1

    ในการเดินทางจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังเมืองเยรีโค นักเดินทางจะต้องเดินผ่านป่ากันดารของยูเดีย ถนนนำไปสู่หุบเขาลึกอันแห้งแล้ง เต็มไปด้วยโขดหินซึ่งรายล้อมไปด้วยโจรผู้ร้าย และบ่อยครั้งจะมีภาพความรุนแรงของการปล้นให้เห็นอยู่เสมอ ณ สถานที่นี้เองที่นักเดินทางผู้นี้ถูกโจมตี ถูกปลดของมีค่าทุกอย่างและถูกปล่อยทิ้งไว้ในสภาพปางตายอยู่ข้างทาง ขณะที่เขานอนอยู่ข้างทางนั้น มีปุโรหิตคนหนึ่งเดินทางผ่านมา และเห็นคนนั้นบาดเจ็บและฟกซ้ำ นอนจมกองเลือด แต่ปุโรหิตคนนั้นเดินจากไปโดยไม่ช่วยเหลือแต่ประการใด เขา “ เดินเลยไปเสียอีกฟากหนึ่ง” ลูกา 10:31 จากนั้นมีเลวีคนหนึ่งเดินผ่านมา เขามีความอยากรู้อยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น จึงหยุดและมองดูชายที่นอนทรมานนั้น เขารู้ดีว่าควรจะทำอะไรแต่เขาเห็นว่ามันไม่ใช่หน้าที่ เขาได้แต่หวังว่าเขาไม่น่าเดินผ่านมาทางนี้เพื่อจะได้ไม่ต้องเห็นชายที่บาดเจ็บ เขาปลอบใจตนเองว่าเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องของเขา “ก็เลยไปเสียอีกฟากหนึ่ง” เช่นเดียวกัน ลูกา 10:32 {COL 379.2}COLTh 342.2

    แต่ชาวสะมาเรียคนหนึ่งที่เดินทางมาทางนี้เห็นคนที่ตกทุกข์ได้ยาก เขาทำหน้าที่ที่คนอื่นปฏิเสธด้วยความอ่อนโยนและเมตตา เขาดูแลปฏิบัติคนบาดเจ็บ ครั้น “เห็นแล้วก็มีใจสงสาร จึงเข้าไปหาเขา เอาเหล้าองุ่นกับน้ำมันเทใส่บาดแผลและเอาผ้ามาพันให้ แล้วให้เขาขึ้นขี่สัตว์ของตนเองพามาถึงโรงแรม และดูแลรักษาพยาบาลเขา วันรุ่งขึ้นก่อนจะไป เขาเอาเงินสองเดนาริอันให้กับเจ้าของโรงแรมบอกว่า ช่วยรักษาเขาด้วย สำหรับเงินที่ต้องเสียเกินนี้จะใช้ให้เมื่อกลับมา” ลูกา 10:33-35 ทั้งปุโรหิตและคนเลวีต่างเคร่งครัดในศาสนา แต่ชาวสะมาเรียแสดงให้เห็นว่าเขากลับใจอย่างแท้จริง เขาไม่ได้เห็นด้วยที่จะทำหน้าที่มากไปกว่าปุโรหิตและคนเลวี แต่ในจิตใจและการกระทำนั้น เขาพิสูจน์ตนเองว่าเป็นหนึ่งเดียวกับของพระเจ้า {COL 379.3}COLTh 342.3

    ในการสอนบทเรียนนี้ พระคริสต์ทรงนำเสนอหลักการของพระบัญญัติอย่างตรงไปตรงมาและหนักแน่น แสดงให้ผู้ฟังเห็นว่าพวกเขาละเลยที่จะปฏิบัติตามหลักการเหล่านี้ ถ้อยคำของพระองค์เจาะจงและเฉียบแหลมจนผู้ฟังจับผิดไม่ได้ นักกฎหมายคนนี้พบว่าในบทเรียนนี้ไม่มีสิ่งใดที่เขาจะติเตียนได้ อคติที่เขามีต่อพระคริสต์หายไป แต่เขาเอาชนะความรังเกียจในเชื้อชาติไม่ได้ เขาไม่ให้เกียรติแม้แต่จะเอ่ยคำว่าชาวสะมาเรีย เมื่อพระคริสต์ถามว่า “ท่านเห็นว่าในสามคนนั้น คนไหนถือได้ว่าเป็นเพื่อนบ้านของคนที่ถูกปล้น” เขาทูลตอบว่า “คือคนนั้นแหละที่แสดงความเมตตาต่อเขา” ลูกา 10:36-37 {COL 380.1}COLTh 343.1

    พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า ท่านจงไปทำเหมือนอย่างนั้น” ลูกา 10:37 จงเมตตาต่อผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ ด้วยการทำเช่นนี้เจ้ารักษาพระบัญญัติทั้งหมด {COL 380.2}COLTh 343.2

    ความแตกต่างอันยิ่งใหญ่ระหว่างชาวยิวและชาวสะมาเรียคือความแตกต่างของความเชื่อทางศาสนา ปัญหาอยู่ที่ว่าอะไรเป็นส่วนของการนมัสการที่แท้จริง ฟาริสีจะไม่พูดถึงชาวสะมาเรียในทางที่ดี แต่จะแช่งสาปอย่างขมขื่นที่สุดใส่พวกเขา ความเป็นปรปักษ์ระหว่างชาวยิวและชาวสะมาเรียนั้นรุนแรงมาก จนหญิงสะมาเรียรู้สึกแปลกใจที่พระคริสต์ทรงขอน้ำดื่มจากเธอ เธอถามว่า “ ทำไมท่านซึ่งเป็นคนยิวจึงมาขอน้ำดื่มจากดิฉันซึ่งเป็นชาวสะมาเรีย เพราะพวกยิวไม่คบหาพวกสะมาเรียเลย” ยอห์น 4:9 ครั้นเมื่อชาวยิวมีความเคียดแค้นต่อพระคริสต์และได้ลุกขึ้นในพระวิหารเพื่อเอาก้อนหินขว้างพระองค์นั้น พวกเขาไม่อาจหาคำพูดที่ดีไปกว่าการเปล่งเสียงด้วยความโกรธเกลียดว่า “ที่เราพูดว่าท่านเป็นชาวสะมาเรียและมีผีสิงนั้นไม่จริงหรือ” ยอห์น 8:48 ถึงกระนั้นปุโรหิตและเลวีละเลยหน้าที่ที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาให้ทำปล่อยให้ชาวสะมาเรียซึ่งพวกเขาดูถูกเหยียดหยามและรังเกียจเดียจฉันท์ทำหน้าที่ดูแลคนร่วมชาติของพวกเขา {COL 380.3}COLTh 343.3

    ชาวสะมาเรียทำตามคำสั่งที่ว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” ลูกา 10:27 การกระทำนี้แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรมมากกว่าผู้ที่ปรักปรำเขา เขาดูแลรักษาคนบาดเจ็บเสมือนเป็นพี่น้องโดยเอาชีวิตของตนเองเข้าเสี่ยง ชาวสะมาเรียคนนี้เป็นตัวแทนของพระคริสต์ พระผู้ช่วยของเราทรงสำแดงให้เราเห็นถึงความรักที่ไม่มีความรักของมนุษย์คนใดสามารถเทียบได้ เมื่อเราบาดเจ็บสาหัสปางตาย พระองค์ทรงเมตตาสงสาร พระองค์ไม่ได้เดินผ่านเราโดยทิ้งเราไว้อย่างอนาถ สิ้นหวังและพบจุดจบ พระองค์ไม่ได้สถิตอยู่ในบ้านแสนสบายและบริสุทธ์ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระองค์ทรงเป็นที่รักของชาวสวรรค์ทั้งมวล แต่พระองค์ทอดพระเนตรเห็นความต้องการที่เจ็บปวดของเรา พระองค์ทรงแบกรับภาระของเราและทรงห่วงใยมวลมนุษย์ พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อศัตรูของพระองค์ พระองค์ทรงอธิษฐานเผื่อฆาตรกรของพระองค์ ทรงชี้ไปที่แบบอย่างของตัวพระองค์เองและตรัสกับบรรดาผู้ติดตามว่า “สิ่งที่เราสั่งพวกท่านไว้ก็คือ จงรักกันและกัน” “เรารักพวกท่านมาแล้วอย่างไร ท่านก็จงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น” ยอห์น 15:17; 13:34 {COL 381.1}COLTh 343.4

    พวกปุโรหิตและเลวีสนับสนุนการนมัสการที่วิหาร ซึ่งประกอบพิธีกรรมตามที่พระเจ้าทรงสถาปนาขึ้น การเข้าร่วมพิธีถือเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่และสูงส่ง ทั้งปุโรหิตและเลวีรู้สึกว่าเมื่อได้รับเกียรติอย่างสูงนี้แล้วการช่วยคนตกทุกข์ข้างทางเป็นงานต่ำต้อยเกินไป เช่นนี้แล้วพวกเขาจึงละเลยโอกาสพิเศษซึ่งพระเจ้าทรงยื่นให้พวกเขาเป็นตัวแทนมอบพระพรให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน {COL 382.1}COLTh 344.1

    ทุกวันนี้ คนจำนวนมากกำลังทำผิดในทำนองเดียวกัน พวกเขาแยกหน้าที่ของตนออกเป็นสองจำพวกอย่างเด่นชัด จำพวกแรกเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องควบคุมให้เป็นไปตามพระบัญญัติของพระเจ้า ส่วนอีกจำพวกหนึ่งซึ่งถูกเรียกว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยตามพระบัญชาที่ว่า “ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” นั้นกลับถูกละเลย ขอบเขตของงานนี้เป็นไปตามอำเภอใจ ซึ่งโน้มเอียงไปมาตามแรงกระตุ้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้อุปนิสัยมีรอยตำหนิและศาสนาของพระคริสต์ถูกนำเสนออย่างไม่ถูกต้อง {COL 382.2}COLTh 344.2

    มีหลายคนคิดว่าการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ผู้ตกทุกข์ได้ยากเป็นการลดเกียรติของตน หลายคนมองด้วยความไม่เอาใจใส่และเหยียดหยามไปยังผู้ที่ปล่อยให้วิหารแห่งจิตวิญญาณของตนถูกทำลาย ส่วนคนอื่นๆ ละเลยคนยากจนด้วยแรงดลใจที่แตกต่างกัน พวกเขากำลังรับใช้ตามที่ตนเองเชื่อว่าเป็นราชกิจของพระคริสต์ด้วยการแสวงหาหนทางที่จะสร้างกิจการใหญ่โตที่มีคุณค่า พวกเขารู้สึกว่าตนเองกำลังทำงานที่ยิ่งใหญ่และไม่สามารถหยุดเพื่อมาดูแลผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือและผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้นในขณะทำงานที่คิดว่ายิ่งใหญ่ให้เจริญขึ้นนั้น พวกเขาอาจจะกดขี่ข่มเหงคนยากจน อาจจะทำให้คนจนเหล่านั้นตกอยู่ในสภาวะที่ลำบากและขัดขวางสิทธิที่พึงได้หรือละเลยความต้องการของเขา แต่ถึงกระนั้นคนเหล่านี้คิดว่าการกระทำนั้นชอบธรรมเพราะเขาคิดว่ากำลังทำให้พระราชกิจของพระคริสต์เจริญก้าวหน้า {COL 382.3}COLTh 344.3

    มีคนจำนวนมากปล่อยให้พี่น้องหรือเพื่อนบ้านดิ้นรนภายใต้สภาวะที่ขัดสนโดยไม่เข้าไปช่วย เนื่องจากพวกเขาอ้างตนเองว่าเป็นคริสเตียนเขาจึงอาจมีความคิดว่า ในความเห็นแก่ตัวอย่างเย็นชาของพวกเขานั้นเขากำลังเป็นตัวแทนพระคริสต์ เนื่องจากว่าผู้ที่อ้างตนว่าเป็นคริสเตียนนั้นไม่ได้ร่วมมือกับพระองค์ ความรักของพระเจ้าซึ่งควรที่จะหลั่งไหลจากพวกเขาไปยังเพื่อนมนุษย์อีกจำนวนมากได้ถูกตัดทิ้งเสียส่วนใหญ่ คำสรรเสริญและคำโมทนาขอบพระคุณอีกมากมายจากปากของมนุษย์ถูกขวางกั้นไม่ให้กลับคืนไปสู่พระเจ้า พระองค์ทรงถูกฉ้อโกงเอาสง่าราศรีที่ควรถวายแด่พระนามอันบริสุทธิ์ของพระองค์ พระองค์ทรงถูกฉ้อโกงจิตวิญญาณของผู้ที่พระคริสต์ทรงพลีชีพให้ คือจิตวิญญาณที่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะนำเข้าสู่แผ่นดินของพระองค์เพื่ออยู่ร่วมกับพระองค์ตลอดชั่วนิรันดร์กาล {COL 383.1}COLTh 345.1

    ความจริงของพระเจ้าส่งผลต่อโลกเพียงน้อยนิดทั้งที่ควรจะส่งผลมหาศาลผ่านการปฏิบัติของเรา คนที่อ้างว่าตนมีศาสนานั้นมีอยู่มากมาย แต่ส่งผลเพียงน้อยนิด เราอ้างว่าตนเป็นผู้ติดตามพระคริสต์ เราอ้างว่าเชื่อในความจริงของพระวจนะของพระเจ้าทุกข้อ แต่การกระทำนี้ไม่ก่อประโยชน์อันใดแก่เพื่อนบ้านนอกเสียจากว่าจะนำความเชื่อนั้นมาปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ความเชื่อของเราอาจสูงเทียมฟ้า แต่ช่วยตัวเราหรือเพื่อนบ้านเราไม่ได้หากเราไม่ประพฤติตัวเป็นคริสเตียน การเป็นตัวอย่างที่ถูกต้องจะเกิดประโยชน์ต่อโลกมากกว่าความเชื่อทั้งหมดที่เรามี {COL 383.2}COLTh 345.2

    เรารับใช้ในพระราชกิจของพระเจ้าอย่างเห็นแก่ตัวไม่ได้ พระราชกิจของพระองค์คือการช่วยเหลือผู้ที่ถูกกดขี่และคนยากจน ในหัวใจของสาวกที่เดินตามพระองค์จำเป็นต้องมีความเมตตาสงสารอันอ่อนโยนของพระคริสต์ ซึ่งเป็นความรักที่มอบให้แก่ผู้มีคุณค่าในสายพระเนตรของพระองค์อย่างลึกซึ้งมากจนกระทั่งพระองค์ประทานชีวิตของพระองค์เพื่อความรอดของพวกเขา จิตวิญญาณเหล่านี้ทรงคุณค่ายิ่งกว่าของถวายอื่นใดที่เราจะนำมาถวายพระเจ้า การทุ่มเทพลังงานทั้งหมดไปกับการงานที่ดูประหนึ่งว่ายิ่งใหญ่ ในขณะที่ละเลยคนขัดสนหรือหันหน้าหนีไปจากคนแปลกหน้าทั้งที่เขาควรจะได้รับสิทธิของเขาเป็นการรับใช้ที่พระองค์ไม่ทรงเห็นชอบ {COL 383.3}COLTh 346.1

    การชำระจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์โดยการประกอบกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นการปลูกฝังธรรมชาติของพระคริสต์ไว้ในมนุษยชาติ ศาสนาของข่าวประเสริฐคือการมีพระคริสต์สถิตอยู่ในชีวิตซึ่งเป็นหลักการที่มีชีวิตและมีความกระตือรือร้น เป็นพระคุณของพระคริสต์ที่แสดงออกมาให้เห็นในอุปนิสัยและการทำการดี หลักการของพระกิตติคุณจะถูกตัดขาดจากส่วนใดส่วนหนึ่งของชีวิตจริงไม่ได้ ทุกแง่มุมของประสบการณ์และการทำงานของคริสเตียนจะต้องแสดงให้เห็นถึงชีวิตของพระคริสต์ {COL 384.1}COLTh 346.2

    ความรักเป็นพื้นฐานของทางพระเจ้า ไม่ว่าจะอยู่ในสถานภาพใด ไม่มีมนุษย์คนใดจะมีความรักบริสุทธิ์ต่อของพระเจ้าได้นอกเสียจากจะมีความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวต่อพี่น้องของเขา แต่เราไม่สามารถมีจิตใจที่มีความรักเช่นนี้ได้ด้วยการพยายามรักคนอื่น สิ่งที่จำต้องมีคือมีความรักของพระคริสต์ในจิตใจ เมื่อตัวของเราเข้ารวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์แล้ว ความรักจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ อุปนิสัยคริสเตียนที่สมบูรณ์จะได้รับมาเมื่อแรงกระตุ้นที่จะช่วยเหลือและเป็นพรแก่ผู้อื่นแสดงออกมาจากภายในอย่างสม่ำเสมอ เมื่อแสงอาทิตย์แห่งสวรรค์ท่วมท้นในจิตใจและแสดงออกมาทางสีหน้า {COL 384.2}COLTh 346.3

    จิตใจที่มีพระคริสต์ร่วมสถิตอยู่ด้วยจะไม่ขาดความรักอย่างแน่นอน หากเรารักพระเจ้าเพราะพระองค์ทรงรักเราก่อนฉันใด เราก็จะรักทุกคนที่พระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเขาด้วยฉันนั้น เราเข้าสัมผัสความรักของพระเจ้าไม่ได้หากเราไม่เข้าสัมผัสมนุษย์ เพราะในพระองค์ผู้ประทับอยู่บนบัลลังก์แห่งจักรวาลนั้นความเป็นพระเจ้าและความเป็นมนุษย์ได้ผนวกเข้าด้วยกัน เมื่อเราเข้าสนิทกับพระคริสต์ เราก็มีความสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ด้วยโซ่ทองแห่งความรัก จากนั้นความเมตตาสงสารและความเห็นใจของพระคริสต์จะแสดงออกในชีวิตของเรา เราจะไม่รอให้ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือหรือคนที่โชคร้ายเข้ามาหาเรา เราไม่จำเป็นต้องให้ใครมาขอร้องเพื่อให้มีความรู้สึกนึกถึงความทุกข์ของผู้อื่น การรับใช้ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือและตกทุกข์ได้ยากจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเหมือนกับที่พระคริสต์ทรงออกไปเพื่อทรงประกอบการดี {COL 384.3}COLTh 346.4

    ที่ใดมีแรงกระตุ้นแห่งความรักและความเห็นใจ ที่ใดที่มีจิตใจยื่นออกไปสู่ผู้อื่นเพื่อเป็นพระพรและการชูใจ ที่นั่นจะมีการแสดงออกถึงการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ในส่วนลึกของคนนอกศาสนา คนที่ไม่มีความรู้ในพระบัญญัติของพระเจ้า คนที่ไม่เคยได้ยินแม้แต่พระนามของพระคริสต์กลับเป็นผู้ที่แสดงความเมตตาต่อผู้รับใช้ของพระองค์ ปกป้องเขาด้วยการเอาชีวิตของตนเข้าเสี่ยง การกระทำของพวกเขาแสดงถึงการทำงานของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงปลูกฝังพระคุณของพระคริสต์ในใจของคนป่าเถื่อนทำให้เขามีความเห็นใจอันเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับธรรมชาติและการศึกษาของเขา “ความสว่างแท้ที่ทำให้มนุษย์ทุกคนเห็นความจริงได้นั้นกำลังเข้ามาในโลก” ยอห์น 1:9 ได้ส่องเข้าไปในจิตวิญญาณและแสงนี้หากได้รับการตอบสนองจะนำย่างเท้าของเขาก้าวไปยังอาณาจักของพระเจ้า {COL 385.1}COLTh 347.1

    สง่าราศีแห่งสวรรค์คือการยกชูคนที่ล้มลงและปลอบใจคนที่ตกทุกข์ และเมื่อใดที่พระคริสต์เข้าสนิทอยู่ในจิตใจของมนุษย์ เมื่อนั้นพระองค์จะทรงสำแดงออกในทำนองเดียวกัน ที่ใดที่มีการแสดงออกเช่นนี้ศาสนาของพระคริสต์จะเจริญขึ้น ที่ใดที่มีการประพฤติปฏิบัติ ที่นั่นย่อมมีความสว่าง {COL 386.1}COLTh 347.2

    พระเจ้าไม่ทรงแยกแยะระหว่างสัญชาติ เชื้อชาติหรือชั้นวรรณะ พระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้างมวลมนุษย์ โดยการทรงสร้างนี้ทำให้ทุกคนอยู่ในครอบครัวเดียวกันและทุกคนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยการไถ่ของพระองค์ พระคริสต์เสด็จมาเพื่อทำลายทุกกำแพงที่ขวางกั้น เพื่อเปิดประตูทุกบานของวิหาร เพื่อจิตวิญญาณทุกดวงจะเข้าไปหาพระเจ้าอย่างเสรี ความรักของพระองค์นั้นกว้างขวางและลึกซึ้งเพียงไร ล้นเหลือจนแทรกซึมเข้าไปทุกที่ เป็นความรักที่จะยกจิตวิญญาณที่น่าสงสารซึ่งตกอยู่ในวงล้อมแห่งการหลอกลวงของซาตานออกมาเป็นความรักที่เข้าไปใกล้พระที่นั่งของพระเจ้าซึ่งมีรุ้งแห่งคำสัญญาล้อมรอบอยู่ {COL 386.2}COLTh 347.3

    ในพระคริสต์ไม่มียิวหรือกรีก ไม่มีทาสหรือไท ทุกคนเข้ามาได้โดยพระโลหิตอันมีค่ายิ่งของพระองค์ กาลาเทีย 3:28 เอเฟซัส 2:13 {COL 386.3}COLTh 348.1

    ไม่ว่าความเชื่อทางศาสนาจะแตกต่างกันอย่างไร เราจะต้องรับฟังการเรียกร้องจากเพื่อนมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยากและตอบสนองความต้องการของเขา ที่ใดที่มีความรู้สึกขมขื่นใจอันเกิดจากความแตกต่างทางศาสนา การรับใช้ในทางส่วนตัวจะให้ผลดีกว่า การรับใช้ด้วยความรักจะทำลายอคติและเอาชนะจิตวิญญาณให้กลับมาหาพระเจ้า {COL 386.4}COLTh 348.2

    เราควรมีส่วนร่วมในความโศกเศร้า ความทุกข์ยากและความลำบากของผู้อื่น เราจะต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขและดูแลทุกคนทั้งชั้นสูงและชั้นต่ำ ทั้งคนร่ำรวยและคนยากจน พระคริสต์ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายได้รับเปล่าๆ ก็จงให้เปล่าๆ” มัทธิว 10:8 รอบตัวเรามีจิตวิญญาณที่ขัดสนและทุกข์ทรมานที่ต้องการความช่วยเหลือทั้งด้วยคำพูดปลอบโยนและการช่วยเหลือ มีหญิงม่ายที่ต้องการความเห็นใจและความช่วยเหลือ มีเด็กกำพร้าที่พระคริสต์ทรงบัญชาผู้ติดตามให้คอยดูแลรับผิดชอบ บ่อยครั้งสิ่งเหล่านี้ถูกละเลยมองข้ามไป พวกเขาอาจแต่งตัวสกปรก เซ่อซ่าและไม่มีสิ่งใดน่าสนใจ แต่กระนั้นพวกเขาเป็นสมบัติของพระเจ้า คนเหล่านั้นได้รับการไถ่ด้วยราคาสูงและในสายพระเนตรของพระเจ้าพวกเขามีค่าเท่าเทียมกับพวกเรา ทุกคนเป็นสมาชิกในครอบครัวใหญ่ของพระเจ้าและเป็นคริสเตียน ในฐานะผู้อารักขาทั้งหลายเราจะต้องช่วยกันรับผิดชอบ พระองค์ตรัสว่าจิตวิญญาณของพวกเขา “เราจะเรียกร้องเอาจากมือเจ้า” เอเสเคียล 3: 20 {COL 386.5}COLTh 348.3

    บาปเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาความชั่วทั้งปวง จึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะให้ความเมตตาและช่วยเหลือคนบาป แต่ใช่ว่าทุกคนจะได้รับการยื่นมือช่วยเหลือด้วยวิธีการเดียวกัน มีคนจำนวนมากปิดซ่อนความกระหายในจิตวิญญาณของเขาไว้ คนเหล่านี้จะได้รับความช่วยเหลืออย่างมากโดยคำพูดที่อ่อนหวานหรือการระลึกถึงเขา มีคนอีกหลายคนที่อยู่ในสภาพที่ขัดสนมาก ถึงกระนั้นก็ยังไม่รู้สภาพของตัวเอง พวกเขาไม่รู้สึกถึงความแร้นแค้นของจิตวิญญาณ คนจำนวนมหาศาลจมปลักอยู่ในบาป จนสูญเสียความรู้สึกในความเป็นจริงของสิ่งอันเป็นนิรันดร์ สูญเสียพระฉายาของพระเจ้าและไม่รู้เลยว่าจิตวิญญาณของตนเองต้องการความช่วยให้รอดหรือไม่ คนเหล่านี้ไม่มีความเชื่อในพระเจ้าหรือวางใจในเพื่อนมนุษย์ จะเข้าถึงตัวคนเช่นนี้ได้ด้วยความเมตตาที่แสดงต่อเขาโดยไม่หวังผลใดๆ ต้องคอยดูแลความต้องการฝ่ายกายของเขาก่อน พวกเขาจะต้องรับประทานอาหาร อาบน้ำและสวมใส่เสื้อสะอาด เมื่อพวกเขาเห็นหลักฐานความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวแล้ว พวกเขาจะเชื่อในความรักของพระคริสต์ได้ง่ายยิ่งขึ้น {COL 387.1}COLTh 348.4

    มีคนมากมายที่ทำผิดและรู้สึกถึงความอับอายและความเขลาของตนเอง พวกเขามองดูความผิดและความเหลวไหลของตนเองจนตกอยู่ในสภาพหมดหวัง เราจะต้องไม่ละเลยจิตวิญญาณเหล่านี้ เมื่อคนคนหนึ่งต้องว่ายน้ำทวนกระแส แรงของกระแสงน้ำนั้นมีพลังที่จะพัดดึงเขากลับไป ขอให้ยื่นมือออกไปช่วยเขาเสมือนหนึ่งพระหัตถ์ของพี่ชายคนโตของเราที่ยื่นออกไปยังเปโตรที่กำลังจมน้ำ พูดกับเขาด้วยถ้อยคำแห่งความหวัง ด้วยวาจาที่จะสร้างความไว้ใจและปลุกความรักให้ตื่นขึ้น {COL 387.2}COLTh 349.1

    พี่น้องของท่านที่เจ็บป่วยทางจิตวิญญาณต้องการท่าน เหมือนกับที่ท่านต้องการความรักจากพี่น้อง พวกเขาต้องการประสบการณ์จากผู้ที่เคยอ่อนแอเหมือนอย่างพวกเขา คนที่เห็นใจเขาและช่วยเหลือเขาได้ ความเข้าใจในความอ่อนแอของเราเองจะช่วยอีกคนหนึ่งที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เราไม่ควรมองข้ามจิตวิญญาณที่ทนทุกข์โดยไม่หาหนทางที่จะให้ความปลอบใจแก่เขาเหมือนอย่างที่เราได้รับการปลอบใจจากพระเจ้า {COL 387.3}COLTh 349.2

    การมีสามัคคีธรรมกับพระคริสต์ การมีความสัมพันธ์เป็นการส่วนตัวกับพระผู้ช่วยผู้ทรงชนม์จะนำความคิด จิตใจและจิตวิญญาณไปสู่ชัยชนะเหนือธรรมชาติฝ่ายต่ำ จงบอกผู้ที่ระเหเร่ร่อนว่ามีพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ที่จะทรงยกชูเขาได้ จงบอกพวกเขาว่าความเป็นมนุษย์ของพระคริสต์เมตตาสงสารเขา การที่เขาเชื่อในกฎเกณฑ์และอำนาจยังไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยังขาดความเมตตาและไม่เคยฟังเสียงร้องขอของความช่วยเหลือ เขาต้องการจับมือที่อบอุ่นเพื่อวางใจในจิตใจที่เต็มไปด้วยความอ่อนนุ่ม จงให้จิตใจของเขาตั้งอยู่บนความนึกคิดว่าพระเจ้าสถิตอยู่เคียงข้างเขาเสมอ ทรงคอยเฝ้ามองเขาด้วยความรักเห็นอกเห็นใจ บอกให้เขาคิดถึงพระทัยของพระบิดาผู้โศกเศร้าต่อการกระทำบาปของเขา คิดถึงพระหัตถ์ของพระบิดาที่ทรงยื่นออกมาเสมอ พระสุรเสียงของพระบิดาที่ตรัสว่า “ ให้มันยอมอยู่ใต้การปกป้องของเรา ให้มันสร้างสันติภาพกับเรา ให้มันสร้างสันติภาพกับเรา” อิสยาห์ 27:5 {COL 388.1}COLTh 349.3

    ในขณะที่ท่านทำงานนี้ ท่านมีเพื่อนร่วมงานที่สายตามนุษย์มองไม่เห็น ทูตจากสวรรค์อยู่เคียงข้างชาวสะมาเรียที่ดูแลชายแปลกหน้าที่บาดเจ็บ ทูตจากปราสาทสวรรค์คอยยืนเคียงข้างทุกคนที่ทำงานรับใช้พระเจ้าเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ และท่านจะรับความร่วมมือของพระคริสต์เองโดยตรง พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งการฟื้นฟูกลับสู่สภาพดีดังเดิมและในขณะที่ท่านทำงานภายใต้การควบคุมดูแลของพระองค์ท่านจะเห็นผลลัพธ์ยิ่งใหญ่ {COL 388.2}COLTh 350.1

    การทำงานนี้อย่างซื่อสัตย์ไม่เพียงแต่เพื่อความสุขของผู้อื่นเท่านั้นแต่การกระทำนี้ยังมีผลต่อชีวิตนิรันดร์ในอนาคตด้วย พระคริสต์ทรงแสวงหาผู้สมควรได้รับการยกชูขึ้นเพื่อเป็นมิตรสหายกับพระองค์ เพื่อเราจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระองค์เหมือนพระองค์ทรงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระบิดา พระองค์ทรงอนุญาตให้เราเข้าใกล้ผู้ที่ตกทุกข์และประสบภัยเพื่อให้เราออกมาจากความเห็นแก่ตัว พระองค์ทรงเสาะหาวิธีให้เราพัฒนาตนเองเพื่อให้มีคุณลักษณะของพระลักษณะนิสัย ความเห็นอกเห็นใจ ความอ่อนน้อมและความรักเช่นเดียวกับพระองค์ การยอมรับใช้ในพันธกิจเช่นนี้ก็เท่ากับเรานำตนเองเข้าสู่โรงเรียนของพระองค์เพื่อที่จะเตรียมตัวให้เหมาะสมที่จะไปยังพระบังลังก์ของพระเจ้า แต่การปฏิเสธพันธกิจนี้ เราก็ปฏิเสธคำสั่งสอนของพระองค์และเลือกที่จะแยกตัวออกห่างจากพระพักตร์ของพระองค์ตลอดนิรันดร์ {COL 388.3}COLTh 350.2

    พระยาห์เวห์ตรัสว่า “ถ้าเจ้า…..รักษาคำกำชับของเรา…เราจะให้เจ้ามีสิทธิที่จะเข้าไปท่ามกลางผู้ที่ยืนอยู่ที่นี้” แม้กระทั่งเข้าไปอยู่ท่ามกลางทูตสวรรค์ทั้งหลายที่ล้อมรอบพระที่นั่งของพระองค์ เศคาริยาห์ 3:7 เมื่อเราร่วมมือทำงานกับทูตสวรรค์ทั้งหลายในโลกนี้ เรากำลังเตรียมตัวที่จะมีความสัมพันธ์กับพวกเขาในสวรรค์ “ทูตสวรรค์ทั้งปวงเป็นเพียงวิญญาณที่รับใช้พระเจ้า ที่ทรงส่งไปปรนนิบัติบรรดาคนที่จะได้รับความรอด” ฮีบรู 1:14 ทูตแห่งสวรรค์จะต้อนรับบรรดาผู้ที่เคยอยู่ในโลกนี้ที่ดำรงชีวิตโดยไม่ได้ “รับการปรนนิบัติ..แต่มาเพื่อปรนนิบัติคนอื่น” มัทธิว 20:28ในการมีความสัมพันธ์อันเป็นสุขนี้เราจะเรียนรู้จนถึงความสุขที่เป็นนิรันดร์และทุกสิ่งทุกอย่างนี้ล้วนแต่รวมอยู่ในคำถามที่ว่า “ใครเป็นเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า” {COL 389.1}COLTh 351.1

    *****