Loading...
Larger font
Smaller font
Copy
Print
Contents
อุทาหรณ์จากคำสอนของพระคริสต์ - Contents
  • Results
  • Related
  • Featured
No results found for: "".
  • Weighted Relevancy
  • Content Sequence
  • Relevancy
  • Earliest First
  • Latest First
    Larger font
    Smaller font
    Copy
    Print
    Contents

    บทที่ 3 - “ลำต้นก่อน ภายหลังก็ออกรวง”

    อ้างอิงจาก มาระโก 4:26—29

    อุปมาเรื่องผู้หว่านกระตุ้นให้เกิดคำถามมากมาย ผู้ฟังบางคนจับใจความได้ว่าพระคริสต์จะไม่จัดตั้งอาณาจักรบนโลกนี้ และอีกหลายคนมีความอยากรู้อยากเห็นและฉงนสนเท่ห์ เมื่อพระคริสต์ทรงทราบถึงความฉงนใจของเขาเหล่านั้น พระองค์ทรงใช้ภาพอธิบายอื่นๆ เพื่อหวังจะหันเหความคิดของพวกเขาจากความหวังในอาณาจักรบนโลกนี้ไปยังการประกอบกิจของพระคุณของพระเจ้าในจิตวิญญาณ {COL 62.1} COLTh 37.1

    พระองค์ตรัสว่า แผ่นดินของพระเจ้าเปรียบเหมือนคนหนึ่งหว่านพืชลงในดิน กลางคืนเขาก็นอนหลับ และกลางวันก็ตื่นขึ้น พืชนั้นจะงอกขึ้นหรือเติบโตอย่างไรเขาก็ไม่รู้ เพราะแผ่นดินเองทำให้พืชงอกงามโดยขึ้นเป็นลำต้นก่อน ภายหลังก็ออกรวง แล้วก็มีเมล็ดข้าวเต็มรวง เมื่อสุกแล้วเขาก็เอาเคียวไปเก็บเกี่ยวทันทีเพราะว่าถึงฤดูเกี่ยวแล้ว” มาระโก 4:26—29 {COL 62.2}COLTh 37.2

    ชาวนาที่ “เอาเคียวไปเก็บเกี่ยวทันทีเพราะว่าถึงฤดูเกี่ยวแล้ว” นั้นหาใช่ใครอื่นนอกจากพระคริสต์ พระองค์คือผู้ที่จะเก็บเกี่ยวโลกนี้เมื่อวันอันยิ่งใหญ่นั้นมาถึง แต่ผู้หว่านเมล็ดนั้นได้แก่ผู้ซึ่งทำการแทนพระคริสต์ มีการกล่าวถึงเมล็ดไว้ว่า “ พืชนั้นจะงอกขึ้นหรือเติบโตอย่างไรเขาก็ไม่รู้” แต่สำหรับพระบุตรของพระเจ้าสิ่งนี้หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ พระคริสต์ไม่ได้บรรทม แต่ทรงทำหน้าที่ของพระองค์ ทรงเฝ้าระวังทั้งกลางวันและกลางคืน พระองค์ไม่ได้ทรงละเลยที่จะคอยดูว่าเมล็ดนั้นเจริญขึ้นอย่างไร {COL 62.3}COLTh 38.1

    อุปมาเรื่องเมล็ดพืชเปิดเผยให้ทราบว่าพระเจ้าทรงประกอบกิจของพระองค์ในธรรมชาติ เมล็ดมีกฎแห่งการงอกขึ้นได้อยู่ในตัวมันเอง ซึ่งเป็นกฎที่พระเจ้าทรงจัดตั้ง ถึงกระนั้นหากปล่อยไว้ตามลำพัง เมล็ดก็ไม่งอกขึ้นมาเอง มนุษย์มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตของเมล็ด เขาจะต้องตระเตรียมบำรุงเนื้อดินและหว่านเมล็ดลงไป เขาจะต้องพรวนดิน แต่จะมาถึงจุดหนึ่งซึ่งเขาจะทำอะไรต่อไปไม่ได้อีก ไม่มีพละกำลังหรือสติปัญญาใดของมนุษย์ที่จะทำให้เมล็ดงอกเป็นต้นพืช แม้ว่าจะทุ่มแรงทุ่มกำลังมากเท่าใดก็ตาม เขายังต้องพึ่งพระองค์ผู้ทรงเชื่อมโยงการหว่านและการเก็บเกี่ยวเข้าด้วยกันโดยฤทธานุภาพอันไม่มีขอบเขตจำกัดของพระองค์ {COL 63.1}COLTh 38.2

    ในเมล็ดมีชีวิต ในดินมีอำนาจ แต่เมล็ดนั้นจะไม่เกิดผลเว้นแต่อำนาจอันไม่มีขอบเขตจำกัดของพระเจ้าจะทรงประกอบกิจอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน สายฝนจะต้องหลั่งลงมาให้ความชุ่มฉ่ำแก่ผืนดินที่แห้งผาก ดวงอาทิตย์จะต้องให้ความร้อน รังสีแผ่ไปยังเมล็ดที่ฝั่งอยู่ใต้ดิน พระองค์ผู้เดียวเท่านั้นที่จะเรียกชีวิตซึ่งพระผู้สร้างประทานให้นั้นขึ้นมาได้ เมล็ดทุกเมล็ดเจริญขึ้น พืชทุกต้นเติบโตขึ้นก็ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า {COL 63.2}COLTh 38.3

    เพราแผ่นดินทำให้หน่อของมันงอกขึ้นมา และสวนทำให้สิ่งที่หว่านในนั้นงอกขึ้นมาอย่างไร พระยาห์เวห์องค์เจ้านายจะทรงทำให้ความชอบธรรมและการสรรเสริญงอกขึ้นมาต่อหน้าประชาชาติทั้งหมดอย่างนั้น” อิสยาห์ 61:11 การหว่านในฝ่ายจิตวิญญาณก็เหมือนกับสิ่งที่อยู่ในธรรมชาติ ผู้สอนพระวจนะแห่งความจริงจะต้องเตรียมเนื้อดินแห่งจิตใจ เขาจะต้องหว่านเมล็ดลงไป แต่อำนาจที่จะก่อให้เกิดชีวิตนั้นมาจากพระเจ้า เมื่อมาถึงจุดหนึ่งแล้ว ความพยายามของมนุษย์จะไร้ผล ในขณะที่เราจำต้องประกาศพระวจนะ เราใช้อำนาจเพื่อเร่งเร้าจิตใจให้เกิดความชอบธรรมและการสรรเสริญไม่ได้ การประกาศพระวจนะนั้นจำต้องมีการทำงานของอีกฝ่ายหนึ่งที่อยู่เหนืออำนาจใดของมนุษย์ โดยพระวิญญาณของพระเจ้าเท่านั้น พระดำรัสจึงมีชีวิตและอำนาจที่สร้างจิตใจใหม่จนถึงชีวิตนิรันดร์ได้ นี่คือสิ่งที่พระคริสต์ทรงประสงค์ให้อัครสาวกทั้งหลายเข้าใจ พระองค์ทรงสอนว่าไม่มีสิ่งใดที่เขามีอยู่ในตัวที่จะทำให้การงานสำเร็จ แต่เป็นเพราะฤทธิ์อำนาจอันมหัศจรรย์ของพระเจ้าที่ทำให้พระวจนะของพระองค์เองเกิดผล {COL 63.3}COLTh 38.4

    งานของผู้หว่านพืชเป็นงานแห่งความเชื่อ เขาเข้าใจความลึกลับของการงอกและเติบโตของเมล็ดไม่ได้ แต่เขามีความเชื่อมั่นในสื่อตัวแทนซึ่งพระเจ้าทรงโปรดให้ต้นพืชนั้นเจริญงอกงาม โดยการหว่านพืชนั้นลงในดิน เขากำลังทิ้งเมล็ดอันมีค่าซึ่งน่าจะนำมาเป็นอาหารเพื่อเลี้ยงครอบครัวของเขา แต่เขายอมสูญเสียสิ่งที่ดีในปัจจุบันเพื่อหวังผลตอบแทนที่มากกว่า เขาหว่านเมล็ดนั้นไปโดยคาดหวังที่จะเก็บผลได้มากกว่าเดิมอีกหลายเท่าในวันเก็บเกี่ยว ด้วยเหตุนี้ผู้รับใช้ของพระคริสต์ควรทำการ โดยมีความหวังใจในการเก็บเกี่ยวเมล็ดที่เขาหว่านไป {COL 64.1}COLTh 39.1

    เมล็ดดีอาจนอนนิ่งเงียบอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งในใจที่เย็นชา เห็นแก่ตัวและฝักใฝ่อยู่ฝ่ายโลก โดยไม่มีหลักฐานแสดงให้เห็นว่าหยั่งรากลง แต่ภายหลังเมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าทรงระบายลมหายใจลงบนจิตใจ เมล็ดที่ซ่อนอยู่ก็แตกใบและในที่สุดออกผลถวายเกียรติยศแด่พระเจ้า ในชีวิตการทำงาน เราไม่ทราบว่าเมล็ดใดจะเจริญขึ้น นี่ไม่ใช่ปัญหาที่เราควรหาคำตอบ เราควรทำการของเราและฝากผลไว้กับพระเจ้า “ เวลาเช้าเจ้าจงหว่านพืชของเจ้า และพอเวลาเย็นก็อย่าหดมือเจ้าเลย ” ปัญญาจารย์ 11 :6 พระสัญญายิ่งใหญ่ของพระเจ้าประกาศว่า “ ตราบที่โลกยังมีอยู่ จะมีฤดูหว่านกับฤดูเกี่ยว…ตลอดไป” ปฐมกาล 8:22 ด้วยความเชื่อมั่นในคำสัญญานี้ ชาวนาพรวนดินและหว่าน เราก็ควรหว่านทางฝ่ายจิตวิญญาณอย่างเดียวกัน ด้วยการวางใจในคำมั่นสัญญาของพระองค์ที่กล่าวว่า COLTh 39.2

    คำของเราที่ออกจากปากของเราจะไม่กลับมาสู่เราเปล่าๆ แต่จะทำให้สิ่งที่เราพอใจนั้นสำเร็จ และให้สิ่งที่เราใช้ไปทำนั้นเสร็จสิ้น” อิสยาห์ 55:11 “ ผู้ที่ร้องไห้ออกไปโดยหอบหิ้วเมล็ดพืชเพื่อจะหว่าน จะกลับบ้านด้วยเสียงโห่ร้องยินดี โดยหอบฟ่อนข้าวมาด้วย” สดุดี 126:6 {COL 65.1}COLTh 40.1

    การงอกของเมล็ดหมายถึงการเริ่มต้นชีวิตฝ่ายวิญญาณจิต และการเติบโตของต้นพืชคือรูปร่างสวยงามของการเจริญเติบโตของคริสเตียน พระคุณก็เป็นดังเช่นสิ่งที่อยู่ในธรรมชาติ คือจะไม่มีชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีการเติบโต พืชจะต้องเติบโตหรือไม่ก็ตาย ต้นพืชเจริญขึ้นอย่างเงียบๆ และมองไม่เห็น แต่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเจริญเติบโตของชีวิตคริสเตียนก็เช่นกัน ในทุกขั้นตอนของการพัฒนาชีวิตของเราอาจสมบูรณ์เต็มที่ได้ ถึงกระนั้นก็ตามหากพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับเราสัมฤทธิ์ผล ก็จะมีการพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ การชำระให้บริสุทธิ์เป็นสิ่งที่ดำเนินไปตลอดชีวิต ขณะที่โอกาสของเราเพิ่มขึ้นประสบการณ์ของเราก็จะขยายใหญ่ขึ้นและความรู้ของเราก็จะเพิ่มขึ้น เราจะเข้มแข็งขึ้นจนสามารถทำหน้าที่รับผิดชอบ และการเติบโตของเราจะเป็นสัดส่วนกับสิทธิพิเศษของเรา {COL 65.2} COLTh 40.2

    พืชเจริญเติบโตโดยรับสิ่งที่พระเจ้าประทานเพื่อบำรุงเลี้ยงชีวิตของมัน มันหยั่งรากลงในพื้นดิน รับแสงอาทิตย์ น้ำค้าง และหยาดฝน มันรับอณูที่ให้ชีวิตจากอากาศ ชีวิตคริสเตียนก็เช่นกันที่จะต้องเติบโตขึ้นโดยการร่วมมือกับพระเจ้า โดยสำนึกถึงการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ของเรา เราควรต้องพัฒนาทุกโอกาสเพื่อประสบการณ์ที่เต็มบริบูรณ์ยิ่งขึ้น ดั่งพืชที่หยั่งรากลงในดิน เราควรหยั่งรากลึกลงในพระคริสต์ เหมือนกับพืชที่รับแสงอาทิตย์น้ำค้างและหยาดฝน เราก็ควรจะเปิดใจของเราออกต้อนรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ภารกิจนี้จะสำเร็จ “ ไม่ใช่ด้วยกำลัง ไม่ใช่ด้วยฤทธานุภาพ แต่ด้วยวิญญาณของเรา พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสดังนี้แหละ” เศคาริยาห์ 4:6 ถ้าเรารักษาความคิดของเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว พระองค์จะเสด็จมายังเรา “ อย่างห่าฝน ดังฝนชุกปลายฤดูที่รดพื้นแผ่นดิน” โฮเชยา 6:3 พระองค์จะเสด็จมาประทับเหนือเราดังเช่นดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม COLTh 40.3

    ซึ่งมีปีกรักษาโรคภัยได้” มาลาคี 4:2 เราจะ “ เบิกบานอย่างดอกลิลลี่ ” เรา “จะเจริญขึ้นเหมือนข้าว จะออกดอกเหมือนเถาองุ่น” โฮเชยา 14:5, 7 โดยการพึ่งในพระคริสต์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดส่วนตัวของเรา พระองค์ผู้ทรงเป็นศีรษะของเราจะทำให้เราเจริญขึ้นในทุกสิ่ง{COL 66.1} COLTh 41.1

    พืชนั้นจำเริญขึ้น “เป็นลำต้นก่อน ภายหลังก็ออกรวง แล้วก็มีเมล็ดข้าวเต็มรวง” มาระโก 4:29 เป้าหมายของชาวนาผู้หว่านเมล็ดและบำรุงรักษาพืชให้เติบโตนั้นก็คือ ต้นข้าวออกรวง เขาปรารถนาอาหารสำหรับผู้หิวกระหาย และเมล็ดข้าวสำหรับการเก็บเกี่ยวในอนาคต ดังนั้นพระผู้ทรงเป็นเหมือนชาวนาที่เสาะหาการเก็บเกี่ยว เพื่อรับผลตอบแทนสำหรับพระราชกิจและความเสียสละของพระองค์ พระคริสต์ทรงกำลังแสวงหาการเกิดผลแห่งพระกายของพระองค์ในจิตใจของมนุษย์และทรงกระทำสิ่งนี้โดยผ่านผู้ที่เชื่อในพระองค์ เป้าหมายของชีวิตคริสเตียนคือการเกิดผล คือการจำลองพระลักษณะนิสัยของพระคริสต์ในผู้ที่เชื่อเพื่อที่จะเกิดผลให้มากขึ้นและเพื่อจะเกิดผลในผู้อื่นด้วย {COL 67.1} COLTh 41.2

    พืชนั้นหาได้งอก เติบโตและออกผลเพื่อตัวของมันเองไม่ แต่ “ให้เมล็ดพืชแก่ผู้หว่านและอาหารแก่คนกิน” อิสยาห์ 55:10 ดังนั้นมนุษย์จึงไม่ควรมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองฝ่ายเดียว คริสเตียนดำรงตนอยู่ในโลกนี้ในฐานะผู้แทนของพระคริสต์ เพื่อเป็นผู้นำความรอดไปสู่จิตวิญญาณทั้งหลาย {COL 67.2}COLTh 41.3

    ชีวิตที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวจะไม่เจริญเติบโต หรือเกิดผลใดๆ ถ้าท่านรับองค์พระคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดส่วนตัวแล้ว ท่านก็ควรละตัวเองเสียและพยายามช่วยเหลือผู้อื่น จงกล่าวถึงความรักของพระคริสต์และประกาศถึงคุณความดีของพระองค์ จงกระทำหน้าที่ทุกประการเมื่อโอกาสเปิดให้ท่าน จงแบกรับภาระของจิตวิญญาณไว้บนจิตใจของท่าน และพยายามทุกวิถีทางเท่าที่ท่านมีอำนาจจะทำได้เพื่อช่วยเหลือผู้ที่หลงหาย ขณะที่ท่านรับพระวิญญาณของพระคริสต์ผู้ทรงเป็นความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวและประกอบกิจเพื่อผู้อื่น ท่านจะเติบโตและเกิดผล ผลแห่งพระคุณของพระวิญญาณจะเจริญขึ้นในอุปนิสัยของท่าน ความเชื่อของท่านจะเพิ่มมากขึ้น ความเชื่อมั่นของท่านจะหยั่งลึก ความรักของท่านจะสมบูรณ์แบบ ท่านจะสะท้อนพระฉายาของพระคริสต์มากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกสิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่ทรงคุณ สิ่งที่น่ารัก {COL 67.3} COLTh 41.4

    ส่วนผลของพระวิญญาณนั้นคือความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดทน ความกรุณา ความดี ความซื่อสัตย์ ความสุภาพอ่อนโยน การรู้จักบังคับตน” กาลาเทีย 5:22, 23 ผลเช่นนี้จะไม่มีวันเสื่อมเสียแต่จะผลิตผลตามชนิดของมันจนถึงชีวิตนิรันดร์ {COL 68.1}COLTh 42.1

    เมื่อสุกแล้วเขาเอาเคียวไปเก็บเกี่ยวทันที เพราะว่าถึงฤดูเกี่ยวแล้ว” มาระโก 4:29 พระคริสต์ทรงเฝ้าคอยด้วยความปรารถนาที่จะเปิดเผยพระองค์ในคริสตจักรของพระองค์ เมื่อพระลักษณะนิสัยของพระคริสต์จะสร้างใหม่อย่างสมบูรณ์แบบในประชากรของพระองค์แล้ว เมื่อนั้นพระองค์จะเสด็จมาเพื่อรับเขาเหล่านั้นให้เป็นของพระองค์ {COL 69.1}COLTh 42.2

    นี่คือสิทธิพิเศษของคริสเตียนทุกคน ไม่เพียงแต่จะรอคอยวันนั้นเท่านั้น แต่ช่วยเร่งให้วันแห่งการเสด็จกลับมาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าเร็วขึ้น 2 เปโตร 3:12 หากทุกคนที่อ้างตนว่ารับพระนามของพระองค์จะเกิดผลเพื่อถวายสง่าราศีแด่พระองค์แล้ว เมื่อนั้นเมล็ดแห่งข่าวประเสริฐจะกระจายไปทั่วทั้งโลกอย่างรวดเร็วปานใด การเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้ายจะมาถึงโดยเร็วและพระคริสต์จะเสด็จมาเพื่อรวบรวมเมล็ดอันมีค่า {COL 69.2}COLTh 42.3

    *****

    Larger font
    Smaller font
    Copy
    Print
    Contents