Loading...
Larger font
Smaller font
Copy
Print
Contents
แพทย์ผู้ประเสริฐ - Contents
  • Results
  • Related
  • Featured
No results found for: "".
  • Weighted Relevancy
  • Content Sequence
  • Relevancy
  • Earliest First
  • Latest First

    สมัยที่พระยูเซทรงช่วยบรรเทาทุกข์

    ในบ้านของชาวประมงค์ที่เมืองกัปเรนาอูมแม่ยาย ซีโมนเปโตรป่วย “เป็นไข้หนัก” เขาทั้งหลายจึงอ้อนวอน พระองค์ให้ช่วยหญิงนั้น พระเยซูทรง “แตะต้องมือของ หญิงนี้น ไข้ก็หายเป็นปกติ” นางจึงลุกขึ้นปรนนิบัติ พระผู้ช่วยให้รอดและเหล่าสาวกของพระองค์MHTH 19.1

    ข่าวนั้นก็เลื่องลือไปโดยเร็ว พระเยซูได้กระทำการ อัศจรรย์นั้นในวันซะบาโด ฝูงชนไม่กล้ามาหาพระเยซูเพื่อ ให้พระองค์รักษาโรค จนตะวันตกดินเขาจึงมาหาพระองค์ เพราะเขากลัวพวกอาจารย์ แล้วฝูงชนก็ได้พากันมาจาก บ้าน, ร้าน และตลาด และเบียดเสียดเยียดกันจะเข้าไปยัง เคหสถานอันต่ำต้อยที่พระเยซูพักอาศัยอยู่ คนป่วยเจ็บได้ ถูกหามมาบนแคร่ บางคนก็ใช้ไม้เท้ายันกายโขยกเขยกมา บางคนก็มีมิตรสหายพยุงมา คนป่วยเหล่านั้นพากันไปหา พระผู้ช่วยให้รอดอย่างอ่อนกำลังMHTH 19.2

    ตลอดระยะเวลาหลายชั่วโมงเขาพากันมาหาพระ เยซูแล้วก็กลับไป เพราะไม่มีใครทราบว่าในเวลารุ่งเช้า เขาจะได้พบพระผู้ช่วยให้รอดอยู่กับพวกเขาอีก ประชาชน ในเมืองกัปเรนาอูมยังไม่เคยเห็นวันไหนที่มีเหตุการณ์เช่นนี้ มาก่อนเลย มีเสียงโห่ร้องแสดงความมีชัยและความชื่นชม ยินดีที่พระเยซูทรงช่วยเขาให้หายจากโรคMHTH 20.1

    พระเยซูมิได้หยุดทำงานจนกระทั่งได้รักษาคนป่วย คนสุดท้ายให้หายแล้ว เมื่อฝูงชนจากพระองค์ไปหมดแล้ว เป็นเวลาดึกแล้ว และทั่วบริเวณบ้านของซีโมนมีแต่ความ เงียบสงัด วันอันยืดยาวและเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าตื่นเต้นได้ ผ่านพ้นไปแล้ว และพระเยซูทรงหยุดพักผ่อน แต่ขณะที่ ชาวบ้านยังนอนหลับสนิท พระผู้ช่วยให้รอด “ทรงลุกขึ้น แต่เช้ามืดเสด็จออกไปยังที่สงัดแล้วแล้วอธิษฐานที่นั่น”MHTH 20.2

    ในเวลาเช้าตรู่เปโตรกับมิตรสหายของเขาได้มา หาพระเยซู และทูลพระองค์ว่า ชาวเมืองกับปเรนาอูมกำลัง มาเฝ้าพระองค์ ด้วยความประหลาดใจ เขาได้ยินพระ คริสต์ตรัสว่า “เราต้องไปประกาศกิติคุณแห่งแผ่นดินของ พระเจ้าแก่เมืองอื่นด้วย เพราะว่าที่เราได้รับใช้มานั้นก็ เพราะเหตุนี้เอง”MHTH 20.3

    ชาวเมืองกับปเรนาอูมมีความตื่นเต้นอย่างมากมายใน การที่พระเยซูทรงรักษาเขาให้หายจากโรค เขาปรารถนา ที่จะหน่วงเหนี่ยวพระองค์ไว้ให้อยู่กับเขาที่นั่น พระเยซู ทรงเกรงว่าฝูงชนเหล่านั้นจะพากันลืมเสียหมด ว่าพระองค์ ได้รับมอบหมายให้มาทำอะไรในโลกนี้ พระเยซูไม่ทรงพอ พระทัยที่จะทำให้ฝูงชนสนใจในพระองค์ โดยการที่พระองค์ ทรงกระทำการอัศจรรย์หรือรักษาเขาให้หายจากโรค พระ องค์พยายาม จะชักจูงคนทั้งหลาย ให้มาหาพระองค์ใน ฐานะที่พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ขณะที่ฝูงชนมีความ กระตือรือร้นที่จะเชื่อว่าพระองค์ ได้เสด็จเป็นกษัตริย์ครอบ ครองแผ่นดินโลก พระองค์ปรารถนาที่จะชักจูงจิตต์ใจคน เหล่านั้นให้พ้นจากสิ่งที่อยู่ฝ่ายโลก กลับมาหาสิ่งที่อยู่ฝ่าย วิญญาณจิตต์ ความสำเร็จในทางโลกอย่างเดียวย่อมกีด ขวางวิธีดำเนินงานของพระองค์MHTH 21.1

    การที่ชาวเมืองกัปเรนาอูม มีความประหลาดใจ เพราะพระองค์ไม่ประทับอยู่ในเมืองนั้นกับเขา ต่อไปทำให้ พระเยซูรู้สึกเศร้าพระทัย ในชีวิตของพระองค์ ๆ ไม่เคย ทำสิ่งใดเพื่อประโยชน์ส่วนตัวเลย พระบุตรของพระเจ้า ไม่เคยสนพระทัยต่อตำแหน่งอันสูง, ความมั่งคั่ง หรือสติ ปัญญาเหมือนอย่างคนที่อยู่ฝ่ายโลกทำกัน พระองค์ไม่ ทรงบังคับให้มนุษย์ซื่อตรงจงรักต่อพระองค์ หลายร้อยปี ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จลงมาบังเกิด ได้มีคำพยากรณ์กล่าว ถึงพระองค์ว่า “ท่านจะไม่ประกาศเสียงดัง หรือตะโกน หรือส่งเสียงให้ได้ยินในถนนหนทาง ไม้อ้อช้ำแล้วทานจะ ไม่หักและไส้ตะเกียงริบหรี่อยู่แล้วท่านจะไม่ดับ ท่านจะตัดMHTH 22.1

    สินให้เป็นยุติธรรมอย่างเที่ยงตรง” พวกฟาริซาย พยายามทำตัวให้แตกต่างจากพวก ยิวอื่น ๆ โดยกระทำตัวเป็นคนมีศีลธรรม ถือระเบียบจัด ในพิธีเกี่ยวกับศาสนา และให้ทานแก่คนยากจนเพื่อโอ้ อวดคนอื่น ๆ พวกฟาริซายแสดงให้ใคร ๆ เห็นว่าเขา เป็นคนเคร่งครัดในศาสนา และติเตียนผู้ที่ไม่ประพฤติตาม อย่างเขา พวกอาจารย์ผู้รอบรู้ในกฎหมายของบ้านเมือง มักจะโต้แย้งกับคนที่มีความเห็นไม่ตรงกับเขาในถนนหน ทางเสมอMHTH 22.2

    ชีวิตของพระเยซูแตกต่างจากชีวิตของพวกฟาริ ซายอย่างมากมาย ในชีวิตของพระองค์ไม่มีการโต้เถียง กันอย่างเอะอะ ไม่มีการนมัสการพระเจ้าเพื่อโอ้อวดคน อื่น, ไม่มี่การกระทำเพื่อจะได้รับการยกย่องสรรเสริญจาก มนุษย์ พระคริสต์ทรงอยู่กับพระเจ้า และพระลักษณะ นิสสัยของพระบุตรเป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่าพระบิดาสถิต อยู่ในพระองค์ พระเยซูปรารถนาที่จะชี้แจงให้ประชาชน ทราบถึงสิ่งนี้MHTH 23.1

    พระสุริยันของความชอบธรรมมิได้ฉายรัศมีอัน แรงกล้าเข้ามาในโลกเพื่อจะทำให้มนุษย์ได้รับความเดือด ร้อน มีคำเขียนไว้ถึงพระคริสต์ว่า “พระองค์จะเสด็จมา อย่างแน่ ๆ เท่ากับแสงอรุณที่ส่องมาเวลาเช้า” แสงอรุณ ที่ฉายเข้ามาในโลกอย่างเงียบ ๆ ช่วยขจัดความมืดและ ปลุกผู้คนให้ตื่นขึ้นฉันใด พระสุริยันแห่งความชอบธรรม ก็จะฉายรัศมีเข้ามาพร้อมด้วย “ปีกที่เยียวยารักษาได้” ฉันนั้นMHTH 23.2

    “ดูเถอะ ผู้รับใช้ของเรา ผู้ซึ่งเราได้เชิดชูไว้
    ผู้ที่เราได้เลือกสรรไว้ ผู้ที่เราได้พึงพอใจ”
    “พระองค์ได้ทรงเป็นที่คุ้มขังบังล้อมแก่คนยากจน
    และเป็นที่คุ้มขังบังล้อมแก่คนเข็ญใจในยามทุกข์ยาก
    ของเขา
    เป็นที่คุ้มภัยให้พ้นจากพายุ,เป็นร่มเย็นบังความร้อน”
    “พระยะโฮวาเจ้าผู้ได้ทรงสร้างฟ้าและกางออกไว้นั้น
    ผู้ได้ทรงสร้างโลกและสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นจาก-
    แผ่นดินนั้น
    ผู้ได้ทรงประทานลมหายใจให้แก่มนุษย์บนพิภพ
    และดวงจิตต์แก่คนที่เดินในโลก ตรัสดังนี้ว่า :“
    MHTH 24.1

    “ด้วยความชอบธรรมเรายะโฮวาได้เรียกท่านแล้ว
    และจะยึดมือท่านไว้
    และจะป้องกันท่านไว้ และได้ตั้งท่านไว้เป็นเครื่อง
    หมายแห่งคำสัญญาสำหรับมนุษย์
    เป็นแสงสว่างแก่ประชาชาติ
    ด้วยการเปิดตาคนตาบอด
    ด้วยการนำผู้ถูกจองจำให้ออกมาจากคุกมืด
    และผู้ที่นั่งอยู่ในที่มืดออกมาจากที่คุมขัง”
    “และเราจะจูงคนตาบอดให้เดินตามทางที่เขาไม่
    เคยเดิน
    เราจะพาเขาเหล่านั้นไปตามทางที่เขาไม่เคยไป
    เราจะทำความมืด ที่อยู่เบื้องหน้าเขาให้กลายเป็น
    สว่าง
    และที่ขรุขระให้เป็นที่ราบเรียบ
    สิ่งเหล่านี้แหละเราจะกระทำ, และจะไม่ทิ้งไว้ให้
    ค้างอยู่”
    MHTH 25.1

    ” ให้คนทั้งหลายที่ลงไปยังทะเล, และคนทั้งหลาย
    ที่อยู่ในทะเลนั้น
    ให้หมู่เกาะทั้งหลายและบรรดาคนที่อยู่ในหมู่เกาะนั้น
    ร้องเพลงบทใหม่ถวายพระยะโฮวา
    และสรรเสริญพระองค์ตั้งแต่ปลายแผ่นดินโลกมา
    ให้ป่าดงและเองในป่าดงนั้น
    ให้ตำบลที่ชาวคีตาตั้งบ้านเรือนอยู่นั้นเปล่งเสียง
    ให้ชาวเขาเซลาร้องเพลงร้องเพลงให้เขาทั้งหลาย
    เปล่งเสียงร้องออกมาจากยอดภูเขา
    ให้เขาเหล่านั้นถวายเกียรติยศแก่พระยะโฮวา
    และให้เขาประกาศคำสดุดีต่อพระองค์ตามหมู่ —
    เกาะนั้น”
    “โอ้ฟ้าสวรรค์จงร้องเพลงเพราะพระยะโฮวาได้
    กระทำการนี้
    MHTH 26.1

    โอ้แผ่นดินเบื้องต่ำจงเปล่งเสียง
    โอ้ภูเขาทั้งหลาย, ป่าทั้งหลาย, และต้นไม้ทุกต้น
    ในป่านั้น
    จงเปล่งเสียงร้องขึ้นเป็นเพลง
    เพราะว่าพระยะโฮวาได้ทรงไถ่ยาโคบไว้แล้ว
    และจะทรงสำแดงสง่าราศรี ให้ปรากฎในชาติ
    ยิศราเอล”
    พระองค์ “ทรงสำแดงสง่าราศรี ของพระองค์
    และพวกสาวกก็มีความเชื่อถือในพระองค์”
    จากคุกใต้ดินของเฮโรด ซึ่งโยฮันบัพดิศโต ได้เฝ้า
    รอคอยอยู่ด้วยความท้อถอยและวิตกกังวลถึงเรื่องกิจการ
    ของพระผู้ช่วยให้รอด เขาได้ส่งสาวกสองคนของเขาไป
    ทูลถามพระเยซูว่า :
    “ท่านเป็นผู้ที่จะมานั้นหรือ หรือจะต้องคอยผู้
    อื่น ?”
    MHTH 27.1

    พระผู้ช่วยให้รอดมิได้ตอบคำถามของพวกสาวก นั้นโดยทันที ขณะที่เขากำลังยืนและคิดสงสัยที่พระองค์ ทรงนิ่งเงียบ พวกคนป่วยไข้กำลังพากันมาหาพระเยซู พระสุรเสียงของพระเยซูสามารถทำให้คนหูหนวกยินได้ คำตรัสของพระองค์ และ การแตะต้องด้วยพระหัตถ์เพียง ครั้งเดียวทำให้คนตาบอดกลับมองเห็นแสงสว่าง, เห็นภาพ อันงดงาม ของ ธรรมชาติ, เห็นหน้าญาติพี่น้องมิตรสหาย และเห็นพระผู้ช่วยให้พ้นทุกข์ พระสุรเสียงของพระองค์ ได้ยินไปถึงหูของคนที่กำลังจะตาย และเขาก็กลับฟื้นมีกำ ลังแข็งแรงได้อีก พวกผีสิงก็เชื่อฟังพระองค์ เขาได้หายจาก โรค และได้มนัสการพระองค์ พวกชาวนา และกรรมการที่ ยากจนซึ่งพวกอาจารย์ชั้นสูงของชาติยิวหลีกเลี่ยงเพราะ เห็นว่าไม่สอาดได้พากันมาห้อมล้อมพระองค์ และพระ องค์ได้ทรงตรัสแก่เขาถึงถ้อยคำแห่งชีวิตMHTH 28.1

    โดยประการฉะนี้แหละวันนั้นก็ได้ผ่านพ้นไป สาวก ทั้งสองของโยฮันได้ยินและได้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ โดย ตลอด ในที่สุดพระเยซูทรงเรียกเขามาหาพระองค์ และ ตรัสสั่งให้เขากลับไปบอกโยฮันถึงสิ่งทั้งปวงที่เขาได้เห็น และได้ยินนั้น “บุคลผู้ใดไม่สะดุดกะดากเพราะเราก็เป็น สุข” สาวกทั้งสองจึงนำข่าวนั้นไปแจ้งแก่โยฮันMHTH 28.2

    โยฮันระลึกถึงคำพยากรณ์ที่เกี่ยวกับพระมาซีฮาได้ว่า “พระยะโฮวาได้ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้ พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้าให้นำข่าวดีไปบอกแก่ผู้ที่ถ่อมใจ เพื่อสมาน จิตต์ใจที่ฟกช้ำ เพื่อประกาศความเป็นไทให้ชะเลยฟัง และปลดปล่อยผู้ถูกจองจำ เพื่อประกาศวันเดือนปีที่พระ เจ้าทรงโปรดปรานและเล้าโลมบรรดาคนโศกเศร้า” พระ เยซูแห่งนาซาเร็กเป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่ได้ทรงสัญญาไว้ หลักฐานที่แสดงให้เราเห็นว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรง ฤทธานุภาพ คือการที่พระองค์ทรงช่วยปลดเปลื้องความ ทุกข์ยากของผู้ป่วยเจ็บทรมาน เกียรติยศของพระองค์ได้ ถูกสำแดงให้ปรากฎในการที่พระองค์ยอมต่อพระองค์ลง มาบังเกิดเป็นมนุษย์ผู้ต่ำต้อยเช่นเดียวกับพวกเราMHTH 29.1

    กิจการของพระคริสต์มิได้สำแดงให้เราเห็นว่พระ องค์เป็นพระมาซีฮาอย่างเดียวเท่านั้น แต่แสดงให้เห็นด้วย ว่าพระองค์จะจัดตั้งแผ่นดินของพระองค์โดยวิธีใด พระ เจ้าได้ทรงสำแดงความจริงแก่โยฮันเช่นเดียวกับที่พระองค์ ได้ทรงสำแดงแก่เอลียาในป่ากันดาร เมื่อ “เกิดลมพายุพัด แรงยิ่งนัก ภูเขาทั้งหลายก็แตกแยกออก และศิลาก็แตก เป็นก้อน ๆ เฉพาะพระยะโฮวา แต่พระยะโฮวามิได้สถิต อยู่ในพายุนั้น ภายหลังลมพายุนั้นก็เกิดแผ่นดินไหว แต่ พระยะโฮวามิได้ทรงสถิตอยู่ในแผ่นดินไหวนั้น ภายหลัง แผ่นดินไหวก็เกิดไฟไหม้ แต่พระยะโฮวามิได้สถิตอยู่ในไฟ นั้น” ภายหลังไฟไหม้นั้นพระเจ้าได้ตรัสแก่ศาสดาพยา- กรณ์ด้วยพระสุรเสียงเบา ๆ พระเยซูจะทรงกระทำกิจการ ของพระองค์ มิใช่ด้วยการโค่นราชบัลลังก์หรือทำลายอา ณาจักร์ มิใช่ด้วยการโอ้อวดและสำแดงยศศํกดิ์อันสูง แต่ โดยการที่พระองค์ทรงอบรมสั่งสอนมนุษย์ และสำแดง ความเมตตากรุณาต่อเขาMHTH 30.1

    แผ่นดินของพระเจ้ามิได้ตั้งอยู่ด้วยการโอ้อวดหรือ การแสดงให้ผู้อื่นเห็นความภูมิฐาน แผ่นดินของพระเจ้าจะ มาตั้งอยู่เมื่อมนุษย์มีความเชื่อฟัง และยอมให้พระองค์เข้า มาสถิตอยู่ในใจของเขา และยอมดำเนินตามทางอันชอบ ธรรมของพระองค์ บุคคลผู้ใดสามารถกระทำเช่นนี้ได้บุค คลนั้นย่อมมีลักษณะนิสสัยเหมือนกับพระคริสต์คือเป็นผู้ ดีรอบคอบเหมือนพระองค์MHTH 31.1

    ผู้ติดตามพระคริสต์จะต้องเป็นแสงสว่างแห่งโลก แต่พระเจ้ามิได้ทรงบังคับเขาให้พยายามที่จะส่องแสง พระ องค์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยในการที่มนุษย์มีความพอใจในตัว เองหรืออวดอ้างให้ใคร ๆ เห็นว่าตนมีความดียิ่งกว่าคนอื่น พระองค์ปรารถนาที่จะให้มนุษย์ได้รับการอบรมจิตต์ใจ ด้วยหลักอันชอบธรรมแห่งสวรรค์ และเมื่อเขามีการติด ต่อเกี่ยวข้องกับคนที่อยู่ฝ่ายโลก เขาจะได้ฉายแสงสว่างที่มี อยู่ในตัวเขาให้ปรากฎแก่คนเหล่านั้น การที่เขากระทำ ทุก ๆ สิ่งในชีวิตด้วยความซื่อสัตย์จะเป็นวิธีที่เขาส่องสว่าง แก่ผู้อื่นMHTH 31.2

    ความมั่งมี หรือตำแห่นงอันสูง และเครื่องประดับ อันงดงามมีค่ามิใช่สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้กิจการของพระเจ้า เจริญขึ้น ความสำเร็จใด ๆ ที่มนุษย์ยกย่องสรรเสริญก็มิ ได้ทำให้กิจการของพระองค์เจริญขึ้นด้วย การโอ้อวดให้ เห็นว่าเราเป็นคนสำคัญทางฝ่ายโลกก็ไม่เป็นสิ่งที่มีคุณค่า ในคลองพระเนตรของพระเจ้า พระองค์ทรงยกย่องสิ่งที่ เรามองไม่เห็น และสิ่งที่มีความสำคัญเกี่ยวกับชีวิตชั่ว นิรันดร์ให้มีคุณค่าเหนือสิ่งเหล่านี้ ไม่มีความงดงามอันใด ที่เราสามารถจะนำมาเปรียบเทียบกับความงามของอุปนิส สัยที่บังเกิดขึ้นเพราะผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ MHTH 32.1

    เมื่อพระเจ้าประทานพระบุตรของพระองค์แก่โลก พระองค์ ได้ประทานทรัพย์สมบัติที่ไม่มีวันเสื่อมสูญให้แก่ มนุษย์ด้วย พระคริสต์ได้เสด็จเข้ามาในโลก และยืนอยู่ฉะ เพาะหน้ามนุษย์ทั้งหลายด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ นี่แหละ คือทรัพย์สมบัติที่เราจะได้รับ, ได้สำแดงให้ปรากฎและแจก จ่ายให้แก่ผู้อื่นโดยความสัมพันธ์กับพระองค์MHTH 32.2

    ความพากเพียรของมนุษย์ในการกระทำกิจการ ของพระเจ้าจะบังเกิดผลสมความปรารถนาได้ก็ต่อเมื่อเขา ได้ยอมมอบถวายตนเองแก่พระองค์โดยสิ้นเชิง และแสดง ให้ผู้อื่นเห็นว่าพระคุณของพระเยซูคริสต์สามารถจะเปลี่ยน แปลงชีวิตของเขาได้ เราทั้งหลายจะต้องมีคุณสมบัติแตก ต่างจากคนที่อยู่ฝ่ายโลก เพราะพระเจ้าได้ประทับตราของ พระองค์ไว้บนเรา เพราะพระองค์ได้ทรงสำแดงความรัก ของพระองค์ให้ปรากฎในอูปนิสสัยของเรา พระผู้ไถ่ได้ ปกคลุมเราไว้ด้วยความชอบธรรมของพระองค์MHTH 33.1

    ในการเลือกชายหญิงสำหรับจะปรนนิบัติรับใช้ งานของพระองค์ พระเจ้ามิได้ทรงถามว่าคนเหล่านั้นมี ทรัพย์สมบัติมั่งคั่ง มีความรู้สูง หรือมีความสามารถพูดให้ จับใจคนอื่นได้ พระองค์ตรัสถามว่า “เขาดำเนินตามทาง ของเราด้วยใจถ่อมลงซึ่งจะทำให้เราสามารถสั่งสอนเขาได้ หรือไม่ ? เขาจะกล่าวถ้อยคำเช่นเดียวกับที่เรากล่าวหรือ ไม่ เขาจะเป็นผู้แทนเราได้หรือไม่ ?” ๓MHTH 33.2

    การที่พระเจ้าสามารถจะใช้บุคคลทุก ๆ คนได้มาก น้อยเพียงใดนั้น ย่อมสุดแล้วแต่การที่เขายอมปรนนิบัติรับใช้ และยอมให้พระวิญญาณของพระองค์เข้ามาประทับในจิตต์ ใจของเขา งานที่พระองค์ทรงยอมรับคืองานที่สำแดงให้ ผู้อื่นเห็นแบบฉายาของพระองค์ ผู้ติดตามพระองค์จะต้อง ดำเนินชีวิตตามแนวทางที่พระองค์ได้ทรงวางไว้ เพื่อแสดง ให้ผู้อื่นเห็นว่าเขามีความเชื่อถือในพระองค์MHTH 34.1

    “พระองค์จะทรงรวบรวมลูกแกะไว้ ใน อ้อมพระ กรของพระองค์ และอุ้มมันไว้แนบพระอุระของพระองค์” ขณะที่พระเยซูกำลังรักษาพยาบาลคนป่วยไข้ที่ ถนนในเมือง พวกผู้หญิงที่เป็นมารดาได้อุ้มบุตรน้อยซึ่งกำ ลังเจ็บหนักเบียดเสียดฝูงชนเข้ามาหาพระองค์ เพื่อพระองค์ จะได้รักษาบุตรของเขาให้หายMHTH 34.2

    มารดาเหล่านี้มีดวงหน้าซีดเซียว ท่า ทาง เหน็ด เหนื่อยอ่อนเพลีย แม้กระนั้นก็ยังมีความพยายามที่จะอุ้มบุตรของตนมาหาพระเยซู ขณะที่เขาถูกฝูงชนเบียดเสียด ให้ห่างออกไปพระเยซูได้ทรงพระดำเนินไปหาเขา จนกระ ทั่งพระองค์ได้อยู่ใกล้ชิดกับเขา ความหวังเกิดขึ้นในจิตต์ ใจของคนเหล่านั้น น้ำตาแห่งความชื่นชมยินดีไหลลงอาบ หน้าเขาเมื่อได้เห็นพระองค์ทรงสนพระทัยในพวกเขา และได้มองเข้าไปในดวงพระเนตร อันมีแววแห่งความรัก และ ความสงสารMHTH 34.3

    พระผู้ช่วยให้รอดทรงตรัสแก่หญิงคนหนึ่งในหมู่ ชนนั้นว่า “หญิงเอ๋ย เจ้าปรารถนาจะให้เราทำอะไรให้เจ้า?” นางสะอื้นพลางทูลตอบ “พระอาจารย์เจ้าข้า ขอได้โปรด เอ็นดูช่วยรักษาบุตรของข้าพเจ้าให้หายจากโรคด้วย” พระคริสต์ทรงรับเด็กนั้นมาจากมารดา เมื่อพระองค์ทรง สัมผัสร่างของเด็กน้อยเขาก็หายป่วย ดวงหน้าอันซีดเซียว ก็กลับมีสีเลือดและกล้ามเนื้อในร่างกายของเด็กนั้นก็กลับ แข็งแรงขึ้นอีก พระองค์ทรงปลอบโดยหญิงผู้เป็นมารดา แล้วก็มีหญิงอีกคนหนึ่งนำบุตรที่ป่วยหนักมาให้พระองค์รัก ษาเช่นเดียวกัน พระเยซูได้ทรงรักษาเด็กที่ป่วยให้หายอีก คนทั้งหลายก็พากันสรรเสริญ และถวายเกียรติยศแก่พระ องค์ผู้ทรงกระทำสิ่งที่น่าอัศจรรย์MHTH 35.1

    เราต้องพึ่งพาอาศัยในความสำคัญแห่งชีวิตของ พระคริสต์อย่างมากมาย เราพูดถึงสิ่งอันน่ามหัศจรรย์ ต่าง ๆ และการอัศจรรย์ที่พระองค์ได้ทรงกระทำ แต่การ ที่พระองค์ทรงเอาพระทัยใส่ต่อสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้นกลับ เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่าพระองค์ทรงฤทธานุภาพอันยิ่ง ใหญ่MHTH 36.1

    ในระหว่างพวกยิวเป็นธรรมเนียมที่เขาจะต้องนำ เด็ก ๆ ไปหาพวกอาจารย์ เพื่อจะได้วางมืออวยพรให้แก่ เด็กนั้น แต่พวกสาวกคิดว่างานของพระผู้ช่วยให้รอดสำ คัญมาก และเขาไม่ควรจะนำเด็ก ๆ มารบกวนพระองค์ เมื่อพวกมารดาได้นำบุตรเล็ก ๆ ของเขามาให้พระองค์ อวยพร พวกสาวกก็ไม่พอใจ เขาคิดว่าเด็กนั้นเล็กเกินไป ที่จะมาหาพระเยซู และพระองค์จะไม่พอพระทัยที่จะให้ เด็กเหล่านั้นมารบกวน แต่พระผู้ช่วยให้รอดทรงเข้าพระ ทัยในความวิตกกังวลและภาระอันหนักของมารดาผู้พยา- ยามอบรมสั่งสอนบุตรให้ปฏิบัติตามพระคำของพระเจ้า พระองค์สดับฟังคำอธิษฐานของเขา พระองค์เองได้ทรง เรียกเขาให้มาหาพระองค์MHTH 36.2

    มารดาคนหนึ่งได้พาบุตรของตนออกจากบ้านมา หาพระเยซู เมื่อมารดาของเขาได้บอกเพื่อนบ้านให้ทราบ ถึงกิจธุระของเขา และเพื่อนบ้านนั้นก็ปรารถนาที่จะให้ พระเยซูอวยพรแก่บุตรของเขาด้วย ฉะนั้นจึงมีมารดา ๒-๓ คน พาบุตรของตนมาหาพระเยซู เมื่อหญิงเหล่านั้นทูลพระองค์ ให้ทราบความปรารถนาของเขา พระองค์ก็ ทรงพระเมตตา แต่พระองค์ใคร่จะรอดูว่าพวกสาวกจะ ปฏิบัติต่อหญิงพวกนั้นอย่างไร เมื่อพระองค์เห็นพวกสาวกติเตียนหญิงเหล่านั้นและบอกให้เขาไปเสีย โดยคิดจะทำให้ เป็นที่ชอบพระทัยของพระองค์ พระองค์ได้ทรงชี้แจงให้ พวกสาวกทราบว่าเขาได้ทำผิด และตรัสว่า “จงยอมให้ เด็กเล็ก ๆ มาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าชาวแผ่น ดินของพระเจ้าย่อมเป็นคนอย่างนั้น” พระองค์ทรงอุ้ม เด็ก ๆ เหล่านั้น ทรงวางพระหัตถ์บนบ่าเขา และอวยพร ให้เขาตามความปรารถนาMHTH 37.1

    หญิงเหล่านั้นก็มีความชื่นชมยินดี เขาได้กลับไป บ้านมีกำลังใจเข้มแข็งและมีความสุข เพราะถ้อยคำที่พระ คริสต์ได้ตรัสแก่เขา พระองค์ทรงโปรดให้เขามีกำลังใจ ที่จะแบกภาระอันหนักของเขาด้วยความชื่นบาน และทำ งานเพื่อบุตรของเขาด้วยความหวังMHTH 38.1

    ถ้าหากว่าเราสามารถจะมองเห็นชีวิตในภายหลัง ของเด็กน้อยเหล่านั้นได้เราก็จะได้เห็นมารดาเตือนบุตรของ ตนให้ระลึกถึงภาพในวันนั้น และกล่าวถ้อยคำของ พระผู้ ช่วยให้รอดให้เขาฟัง เราจะได้เห็นด้วยว่าต่อมาในภาย หน้าอีกหลายปีการจดจำถ้อยคำเหล่านี้ไว้ช่วยป้องกันมิให้ เด็กเหล่านั้นหลงไปทางแห่งความชอบธรรมMHTH 38.2

    ในทุกวันนี้พระคริสต์ก็ยังเป็นพระผู้ช่วยให้รอดผู้ ประกอบด้วยความเมตตากรุณาเหมือนเมื่อครั้งที่พระองค์ เสด็จมาบังเกิดในโลก แท้ที่จริงพระองค์ยังเป็นผู้ช่วยของ มารดาเหมือนเมื่อครั้งที่พระองค์ทรงอุ้มเด็กหญิงเล็ก ๆ ที่ มณฑลยูดาย เด็ก ๆ ในครอบครัวของเราเป็นผู้ที่พระ องค์ทรงไถ่ไว้แล้วด้วยพระโลหิตของพระองค์เช่นเดียวกับ เด็ก ๆ ในสมัยนานมาแล้วMHTH 38.3

    พระเยซูทรงทราบถึงภาระอันหนักในจิตต์ใจของ มารดาทุกคน พระองค์ผู้ซึ่งมีมารดาที่ต้องต่อสู้กับความ ยากจนและความลำบากเดือดร้อนทรงเห็นอกเห็นใจมารดา ทุกคนที่ต้องทำงานหนัก พระองค์ผู้ทรงเดินทางไกลเพื่อจะ ช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ยากของหญิงชาวคะนาอัน จะ ทรงช่วยปลดเปลื้องความทุกข็ของมารดาในทุกวันนี้ พระ องค์ผู้ทรงโปรดให้บุตรชายของหญิงหม้ายชาวเมืองนาอิน กลับฟื้นขึ้นมาจากความตาย พระองค์ผู้ทรงทนทุกข์ทรมาน บนไม้กางเขน ทรงระลึกถึงความโศรกเศร้าของมารดาของพระองค์ ย่อมจะรู้สึกเห็นอกเห็นใจมารดาผู้มีความเศร้า โศกในทุกวันนี้ พระองค์จะทรงช่วยเล้าโลมใจเราทั้ง หลายในเวลาที่เรามีความทุกข์โศกMHTH 39.1

    ให้มารดาทั้งหลายนำความยุ่งยากมาหาพระองค์ พระองค์จะประทานพระคุณของพระองค์แก่เขาอย่างเพียง พอเพื่อจะช่วยเขาในการเลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนบุตร พระ เยซูทรงต้อนรับมารดาทุกคนที่ยอมมอบภาระของเขาไว้ แทบพระบาทของพระองค์ พระผู้ทรงตรัสว่า “จงยอม ให้เด็กเล็ก ๆ เข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย” ยังคงเชิญ มารดาให้นำบุตรเล็ก ๆ ของเขาไปให้พระองค์อวยพระพรMHTH 40.1

    ในจำพวกเด็ก ๆ ที่เขานำมาหาพระเยซู พระองค์ ทรงมองเห็นว่าเมื่อเขาเจริญเติบโตขึ้นแล้ว เขาจะได้เป็น ทายาทแห่งพระคุณของพระองค์ และเป็นพลเมืองแห่งแผ่น ดินของพระองค์ และบางคนก็ยินดีจะทนทุกข์ทรมานจนถึง แก่ความตายเพื่อเห็นแก่พระนามของพระองค์ พระองค์ ทรงทราบว่าเด็กเหล่านี้จะยอมเชื่อฟังพระองค์ และเต็มใจที่ จะรับพระองค์เป็นพระผู้ไถ่ได้มากกว่าพวกผู้ใหญ่ที่มีใจแข็ง กระด้างและเฉลียวฉลาดในทางโลก ในการสั่งสอนพระองค์ ทรงลดพระองค์ลงมาเสมอกับพวกเขา พระผู้ทรงฤทธา- นุภาพอันยิ่งใหญ่ในสวรรค์ได้ทรงตอบคำถามของเขา และ อธิบายบทเรียนที่สำคัญ ๆ ของพระองค์ ให้เขาเข้าใจได้ โดยง่าย พระองค์ทรงปลูกพืชแห่งความสัตย์จริงลงใน จิตต์ใจของเขา ซึ่งต่อไปภายหน้าพืชเหล่านั้นจะเจริญขึ้น และบังเกิดผลคือชีวิตชั่วนิรันดร์MHTH 40.2

    เมื่อพระเยซูตรัสสั่งพวกสาวกให้ยอมปล่อยให้เด็ก ๆ มาหาพระองค์ พระองค์กำลังตรัสกับผู้ติดตามพระองค์ ในทุกยุคทุกสมัย — แก่เจ้าหน้าที่ในโบสถ์, พวกศิษยาภิบาล, พวกผู้ช่วยและคริสเตียนทั้งหมด พระเยซูทรง ชักจูงให้เด็กๆมาหาพระองค์ และพระองค์ตรัสสั่งเราว่า “จงยอมให้เด็ก ๆ มาหาเรา” คล้ายกับพระองค์จะตรัส ว่า พวกเด็กๆจะมาหาพระองค์ ถ้าเราไม่ขัดขวางเขาไว้MHTH 41.1

    ผู้ที่ไม่มีอุปนิสสัยเหมือนกับพระคริสต์จะเป็นผู้แทน ที่ดีของพระองค์ไม่ได้ อย่าแสดงอาการชาเย็นหรือกระด้าง กระเดื่องต่อเด็ก ๆ เพราะการกระทำเช่นนั้นจะทำให้เขาไม่ กล้ามาหาพระเยซู อย่าทำให้เขารู้สึกว่าสวรรค์จะไม่เป็น สถานที่ ๆ น่าสุขสบายสำหรับเขาถ้าเขาอยู่ที่นั่น อย่าพูด ถึงศาสนาเหมือนกับว่าศาสนาเป็นสิ่งที่เด็ก ๆ ไม่สามารถ จะเข้าใจได้ อย่าแสดงให้เด็กเห็นว่าเขายังไม่ควรจะรับ พระคริสต์เมื่อยังเป็นเด็ก อย่าให้เขาเข้าใจผิดว่าศาสนา ของพระคริสต์เป็นศาสนาแห่งความเศร้าหมอง และใน การที่เขามาหาพระผู้ช่วยให้รอดนั้นเขาจะต้องสละละทิ้งทุก สิ่งที่ทำให้ชีวิตของเขาสดชื่นรื่นเริงMHTH 41.2

    เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงโน้มน้าวจิตต์ใจของ เด็ก ๆ ท่านทั้งหลายจงช่วยร่วมมือปฏิบัติงานกับพระองค์ จงสอนเด็กว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงเรียกเขา ไม่มีอะไรจะ ทำให้พระองค์ทรงชื่นชมยินดีมากยิ่งไปกว่าการที่เด็ก ๆ จะ มอบถวายตัวเองแก่พระองค์ในเวลาที่เขายังมีอายุน้อยMHTH 42.1

    พระผู้ช่วยให้รอดทรงพระเมตตากรุณาต่อทุกๆคน ที่พระองค์ทรงซื้อไว้แล้ว ด้วยพระโลหิตของพระองค์ พระองค์ทรงยึดคนเหล่านั้นไว้ด้วยความรัก พระองค์ ปรารถนาที่จะช่วยเหลือทุกคน พระองค์มีพระทัยเอ็นดูมิใช่ แต่เพียงแก่เด็กที่ได้รับการอบรมสั่งสอนเป็นอย่างดี และงด งามน่ารักเท่านั้น แต่พระองค์ทรงเมตตาต่อเด็ก ๆ ที่บิดา มารดาเพิกเฉยละเลยจึงได้มีอุปนิสสัยบางอย่างที่ไม่ดี บิดา มารดาหลายคนไม่เข้าใจว่า เขาต้องรับผิดชอบมากเพียงไร ในการฝึกฝนอบรมบุตรให้มีอุปนิสสัยดี หรือชั่ว เขาไม่มี ความอ่อนโยน และสติปัญญาเฉลียวฉลาดพอที่จะจัดการ แก้ไขข้อบกพร่องในตัวเด็กเหล่านั้นได้ แต่พระเยซูทรง พระเมตตากรุณาต่อเด็กเหล่านี้ เพราะพระองค์ทรงพิจาร- ณาดูสาเหตุที่ทำให้เขาเป็นคนไม่ดีMHTH 42.2

    ผู้ปฏิบัติงานที่เป็นคริสเตียนอาจจะเป็นผู้แทนของ พระคริสต์ในการนำเด็ก ๆ ที่มีความผิดพลาดเหล่านี้มาหา พระผู้ช่วยให้รอด โดยอาศัยสติปัญญาและความฉลาด รอบคอบเขาสามารถจะชักจูงจิตต์ใจเด็กเหล่านั้นให้มีความ รักใคร่ในตัวเขา เขาอาจจะช่วยให้เด็กมีความหวัง และมี กำลังใจเข้มแข็ง และโดยพระคุณของพระคริสต์เขาอาจ จะเห็นเด็กเหล่านั้นเปลี่ยนนิสสัยใหม่ได้ เพื่อผู้อื่นจะ สามารถกล่าวถึงเด็กเหล่านั้นได้ว่า “ในแผ่นดินของพระ เจ้ามีแต่คนเช่นเด็กอ่อนนี้”MHTH 43.1

    ตลอดทั้งวันฝูงชนได้พากันเบียดเสียดเยียดยัดติด ตามพระคริสต์กับเหล่าสาวกของพระองค์ไป ขณะที่พระ องค์ทรงเทศนาสั่งสอนอยู่ริมฝั่งทะเล เขาได้สดับฟังถ้อยคำ อันประกอบด้วยความเมตตากรุณาของพระองค์ เป็นถ้อย คำเรียบ ๆ ที่ฟังเข้าใจได้ง่าย พระองค์ทรงรักษาคนป่วยไข้ ให้หายและทรงบันดาลให้คนตายแล้วกลับฟื้นขึ้นอีก ในวัน นั้นฝูงชนรู้สึกมีความสุขเหมือนอยู่ในแดนสวรรค์ และ เขาไม่รู้สึกว่าเวลาได้ผ่านพ้นไปนานเท่าใดตั้งแต่เขาได้รับ ประทานอาหารมื้อเช้าแล้วMHTH 44.1

    พระอาทิตย์ค่อยลดต่ำลงทางทิศตวันตก แต่ฝูงชน ก็ยังห้อมล้อมพระองค์อยู่ ในที่สุดพวกสาวกได้มาทูลพระ เยซูว่าควรจะให้ฝูงชนไปเสีย หลายคนมาจากที่ไกล ๆ และไม่ได้กินอาหารอะไรเลยมาตั้งแต่เช้า เขาอาจจะไป เที่ยวหาซื้ออาหาร ในเอ หรือ ตามหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียง ได้ แต่พระเยซูตรัสว่า “ไม่ต้องให้เขาไป พวกท่านจง เลี้ยงเขาเถิด” แล้วพระองค์ทรงหันไปถามฟีลิปว่า “เรา จะซื้ออาหารที่ไหนให้คนเหล่านี้กินได้?”MHTH 44.2

    ฟีลิปมองดูฝูงชนที่มาชุมนุมกันมากมายและคิดว่า เขาคงไม่สามารถจัดหาอาหาร มาเลี้ยงคนจำนวนมาก เช่น นั้นได้ เขาทูลตอบพระเยซูว่าแม้จะซื้ออาหารสัก ๒๐๐ บาท ก็คงจะไม่พอแจกจ่ายให้คนเหล่านั้นกินได้MHTH 45.1

    พระเยซูตรัสถามว่าในจำนวนคนเหล่านั้นมีใคร บ้างที่มีอาหาร อันดะเรอาทูลตอบว่า “มีเด็กชายคนหนึ่ง ที่นี่ เขามีขนมบาระลีห้าก้อนกับปลาเล็ก ๆ ๒ ตัว แต่อา หารเล็กน้อยเพียงเท่านี้จะพอเลี้ยงฝูงชนจำนวนมากมายได้ อย่างไร ?” พระเยซูมีรับสั่งให้นำอาหารนั้นมาให้พระ องค์ และโปรดให้ฝูงชนนั่งลงบนพื้นหญ้า เมื่อคนเหล่านั้น นั่งลงเรียบร้อยแล้ว พระองค์ได้รับขนมปังกับปลาสองตัว นั้นมา “ทรงเงยพระพักตรดูฟ้าขอพร แล้วหักส่งให้แก่ พวกสาวก พวกสาวกก็แจกให้แก่คนทั้งปวง เขาได้กินอิ่ม ทุกคน แล้วเก็บอาหารที่เหลือได้สิบสองกะบุงเต็ม”MHTH 45.2

    พระคริสต์ทรงเลี้ยงฝูงชนโดยฤทธิ์อำนาจของพระ เจ้า แต่อาหารที่พระองค์จัดหาให้คนทั้งหลายเหล่านั้นเป็น อาหารอย่างธรรมดา มีปลากับขนมปังซึ่งเป็นอาหารประ จำวันของชาวประมงค์ในมณฑลฆาลิลายMHTH 46.1

    พระคริสต์สามารถจะจัดหาอาหารอย่างดีวิเศษมา เลี้ยงคนเหล่านั้นได้ แต่การจัดหาอาหารเพื่อจะให้คนเหล่า นั้นได้กินอิ่มท้องเท่านั้นหามีประโยชน์สำหรับคนเหล่านั้นไม่ โดยการอัศจรรย์ครั้งนี้พระเยซูปรารถนาที่จะสอนบทเรียน แห่งความเป็นอยู่อย่างง่าย ๆ แก่คนเหล่านั้น ถ้ามนุษย์เรา ในสมัยนี้มีนิสสัยรักสงบ และมีความเป็นอยู่อย่าง ง่าย ๆ โลกเราก็จะไม่มีความขาดแคลน และมนุษย์ก็จะ ได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องการ แต่ความเห็นแก่ตัวและ การตามใจตัวเองในการบริโภคอาหารได้นำความผิดบาป และความทุกข์ยากเข้ามาในโลกนี้MHTH 46.2

    พระเยซูมิได้พยายามที่จะชักจูงฝูงชนมาหาพระ องค์ โดยช่วยจัดหาสิ่งที่หรูหราฟุ่มเฟือยให้แก่เขาสมความ ปรารถนา สำหรับฝูงชนที่หิวกระหายและเหน็ดเหนื่อยอิด โรยในวันนั้นอาหารอย่างธรรมดาช่วยให้คนเหล่านั้นมีความ มั่นใจว่า พระองค์ทรงพิทักษ์รักษาและประทานทุกสิ่งที่เขา ต้องการในชีวิตของเขา พระผู้ช่วยให้รอดมิได้สัญญา ว่าจะประทานความหรู่หราฟุ่มเฟือยแห่งโลกนี้ให้แก่ผู้ที่ติด ตามพระองค์ เขาอาจจะเป็นคนยากจนแต่พระองค์ทรง สัญญาว่าจะประทานสิ่งที่เขาต้องการให้แก่เขา พระองค์ จะประทานสิ่งที่ดียิ่งกว่าทรัพย์สมบัติในโลกนี้ให้แก่เขา พระองค์จะสถิตอยู่ใกล้เขาและประเล้าประโลมใจเขาMHTH 47.1

    ภายหลังที่พระเยซูได้ทรงเลี้ยงฝูงชนแล้วก็ยังมีอา หารเหลืออีกมากมาย พระเยซูตรัสแก่เหล่าสาวกว่า “จง เก็บเดนที่เหลือนั้น เพื่อมิให้สิ่งใดเสียไป” ถ้อยคำเหล่านี้ มีความหมายลึกซึ้งยิ่งกว่าการเก็บอาหารใส่ตะกร้า เราไม่ ควรจะให้สิ่งใดเสียไป เราไม่ควรจะละทิ้งสิ่งใดที่จะใช้ เป็นประโยชน์แก่มนุษย์ได้ ให้เราเก็บทุก ๆ สิ่งที่จะใช้เป็น อาหารสำหรับผู้อดอยากหิวโหยไว้ ด้วยความระมัดระวัง อย่างเดียวกัน เราจะต้องเก็บอาหารฝ่ายวิญญาณจิตต์ซึ่ง พระเจ้าทรงประทานแก่เราจากสวรรค์ เราจะต้องดำรง ชีวิตอยู่โดยการเชื่อฟังพระคำของพระเจ้า เราไม่ควรจะ ปล่อยให้คำที่พระเจ้าตรัสสูญเสียไป เราไม่ควรจะละเลย ต่อถ้อยคำที่เกี่ยวกับความรอดและชีวิตชั่วนิรันดร์ของเรา เราไม่ควรจะปล่อยให้ถ้อยคำของพระองค์ผ่านพ้นไปโดยไร้ ประโยชน์MHTH 47.2

    การอัศจรรย์ที่พระเยซูทรงกระทำเมื่อครั้งที่เลี้ยง ขนมปังคนห้าพันคน สอนให้เขาทราบว่าเขาต้องพึ่งพาอา ศัยในพระเจ้า อาหารที่พระเยซูทรงเลี้ยงคนเหล่านั้นมิได้ อยู่ใกล้ ๆ พระองค์ไม่มีวิธีใดที่จะจัดหาอาหารมาเลี้ยงคน เหล่านั้นได้ พระองค์ทรงอยู่ในสถานที่กันดารกับผู้ชายห้า พันคนนอกจากนั้นก็มีเด็ก ๆ และผู้หญิงอีก พระองค์มิได้ เชิญคนเหล่านั้นให้ตามพระองค์ไปที่นั่น ฝูงชนต้องการจะ อยู่ใกล้ชิดพระองค์ เขาจึงพากันมาโดยที่พระองค์มิได้ ทรงเชิญหรือมีรับสั่งให้มา แต่พระองค์ทรงทราบว่า ภาย หลังที่ได้ฟังคำสั่งสอนของพระองค์มาตลอดวันเขาย่อม เหน็ดเหนื่อยและหิวกระหาย เขาอยู่ห่างไกลจากบ้าน และ เวลานั้นก็เกือบจะค่ำแล้ว หลายคนไม่มีเงินจะซื้ออาหาร พระองค์ผู้ทรงอดอาหารในป่าพื่อเขาถึง ๔๐ วัน จะไม่ ปล่อยให้เขากลับบ้านโดยไม่ได้รับประทานอาหารMHTH 48.1

    พระเจ้าโปรดให้พระคริสต์เสด็จมายังโลกนี้เพื่อจะ ช่วยพิทักษ์รักษาพลไพร่ของพระองค์ไว้ และพระองค์ต้อง พึ่งพาอาศัยพระบิดาในสวรรค์เพื่อจะจัดหาสิ่งที่จำเป็นสำ หรับคนเหล่านั้น เมื่อเราตกอยู่ในที่คับขันเราจะต้องพึ่งใน พระเจ้า เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินทุก ๆ ครั้งเราจะต้องแสวงหา ความช่วยเหลือจากพระองค์ผู้สามารถจะบันดาลให้ทุกสิ่ง เป็นไปตามคำสั่งของพระองค์MHTH 49.1

    ในการอัศจรรย์ครั้งนี้พระคริสต์ทรงรับอาหาร จากพระบิดา พระองค์ได้ประทานอาหารแก่เหล่าสาวก และพวกสาวกได้แจกจ่ายแก่ฝูงชน และฝูงชนได้แจกกัน และกันอีกต่อหนึ่ง โดยทำนองเดียวกันผู้ที่ได้เข้าสนิทกับพระ คริสต์จะได้รับขนมปังแห่งชีวิตจากพระองค์ และแจกจ่าย ให้แก่คนอื่น ๆ พวกสาวกได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ติดต่อ ระหว่างพระคริสต์กับฝูงชนMHTH 50.1

    เมื่อพวกสาวกได้ฟังคำสั่งสอนของพระผู้ช่วยให้ รอดว่า “จงจัดหาอาหารให้เขารับประทาน” เขาก็รู้สึก ยุ่งยากใจ เขาทูลถามพระองค์ว่า “เราจะไปซื้ออาหาร จากหมู่บ้านมาเลี้ยงคนเหล่านี้หรือ? พระคริสต์ตรัสว่า “จงจัดหาอาหารให้เขารับประทาน” พวกสาวกได้นำอา หารทั้งหมดที่เขามีมามอบแก่พระเยซู แต่พระองค์มิได้ เชิญเขาให้รับประทาน พระองค์ตรัสสั่งให้พวกสาวกนำ อาหารไปเลี้ยงฝูงชน อาหารนั้นก็เพิ่มมากขึ้นในพระหัตถ์ ของพระองค์ และมือของเหล่าสาวกที่เอื้อมออกไปหาพระ คริสต์จะมีอาหารเต็มบริบูรณ์อยู่เสมอ อาหารจำนวนเล็ก น้อยนั้นมีเพียงพอสำหรับทุกคน เมื่อฝูงชนรับประทานอา หารเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกสาวกจึงได้รับประทานร่วม ด้วยกันกับพระเยซูMHTH 50.2

    เราเคยรู้สึกเศร้าใจบ่อย ๆเมื่อเห็นสิ่งจำเป็นสำหรับ คนยากจน, คนโง่เขลา และคนที่ทนทุกข์ลำบาก เราถาม ว่า “กำลังอ่อนแอและรายได้เพียงเล็กน้อยของเราจะจัด หาสิ่งที่จำเป็นสำหรับคนเหล่านั้นได้อย่างไร? เราจะไม่รอ คอยให้ผู้ที่มีสมรรถภาพมากกว่าเราเป็นผู้ดำเนินกิจการ หรือให้องค์การบางองค์การเป็นผู้จัดทำหรือ? พระคริสต์ ตรัสว่า “จงจัดหาอาหารให้เขารับประทาน” จงใช้เงิน ทอง, เวลา และความสามารถที่ท่านมี จงนำขนมบาระลี ของท่านมาถวายพระเยซู”MHTH 51.1

    ถึงแม้ว่ารายได้ของท่านจะไม่เพียงพอสำหรับเลี้ยง คนหลายพันคน แต่ก็อาจจะเพียงพอสำหรับเลี้ยง คน ๆ เดียว ในพระหัตถ์ของพระคริสต์รายได้นั้นจะมีเพียงพอสำ หรับเลี้ยงคนมากหลาย เช่นเดียวกับเหล่าสาวกจงให้สิ่งที่ ท่านมี พระเยซูจะโปรดให้ของนั้นเพิ่มมากขึ้น พระองค์ จะประทานบำเหน็จรางวัลแก่ผู้ที่ซื่อสัตย์ และผู้ที่เชื่อวางใจ ในพระองค์ สิ่งที่มีเพียงเล็กน้อยก็จะกลับกลายเป็นสิ่งที่ มากMHTH 51.2

    “แต่นี่แหละคนที่หว่านเล็กน้อยจะเกี่ยวเก็บเล็ก น้อย แต่คนที่หว่านมากจะเกี่ยวเก็บมาก ทุกคนจงให้ตาม ซึ่งเขาได้คิดหมายไว้ในใจ มิใช่ด้วยนึกเสียดาย มิใช่ด้วย ขื่นใจให้ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนนั้นที่ให้ด้วยใจยินดี และพระเจ้าทรงฤทธิ์อาจประทานสรรพคุณอันอุดมแก่ท่าน ทั้งหลาย เพื่อท่านจะมีสิ่งของทุกอย่างพอสำหรับตัวเสมอ ทั้งจะมีสิ่งของบริบูรณ์สำหรับการดีทุกอย่างด้วย เหมือน มีคำเขียนไว้แล้วว่า เขาได้แจกจ่ายและบริจาคทานแก่คน ยากจน ความชอบธรรมของเขาจะยั่งยืนเป็นนิตย์ ฝ่าย พระองค์ผู้ทรงประทานพืชแก่คนที่หว่าน และประทาน อาหารแก่คนที่กิน จะทรงโปรดบันดาลให้พืชของท่านทีหว่าน แล้วทวีขึ้นเป็นจำนวนมาก และจะทรงบันดาลให้ผลแห่ง ความชอบธรรมของท่านเจริญมากยิ่งขึ้น โดยเหตุที่ท่าน ทั้งหลายมีสิ่งสารพัตรมั่งคั่งบริบูรณ์ขึ้น ท่านจึงให้เรานำ ของบริบูรณ์ของท่านไปแจกจ่ายแก่คนทั้งหลายน.”MHTH 52.1